พาณิชย์ เผย 11 เดือนแรกปี 64 ไทยใช้สิทธิส่งออกภายใต้ GSP โตเกือบ 30%

นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยสถิติการใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ทั้ง 4 ระบบ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช และนอร์เวย์ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2564 (มกราคม – พฤศจิกายน) มีมูลค่า 3,437.38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 29.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 62.76% โดยไทยยังคงใช้สิทธิฯ ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มขึ้นถึง 35.03% ในขณะที่การใช้สิทธิฯ ส่งออกไปยัง สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช ลดลง 10.78% และ 11.42% ตามลำดับ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ดังนี้

อันดับ 1 สหรัฐอเมริกา (มูลค่า 3,071.76 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และขยายตัวดีตลอด 11 เดือนในปี 64 อาทิ ถุงมือยาง (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 488.66 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 62.12%) ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 286.79 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 73.26%) กรดซิทริก (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 108 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 65.62%) ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 84.14 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 13.12%) ผลไม้ ลูกนัต และส่วนอื่นที่บริโภคได้ของพืช ที่ปรุงแต่งหรือทำไว้ไม่ให้เสีย (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 55.79 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 52.86%) เป็นต้น

อันดับ 2 สวิตเซอร์แลนด์ (มูลค่า 241.68 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และขยายตัวได้ดี อาทิ ของผสมของสารที่มีกลิ่นหอมชนิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารหรือเครื่องดื่ม (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 24.60 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 25.67%) ของที่ใช้ลำเลียงสินค้าหรือบรรจุสินค้า รวมทั้งจุก ฝาและที่ปิดครอบอื่นๆ ทำด้วยโพลิเมอร์ของเอทิลีน (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 11 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 8.69%) หน้าปัดของนาฬิกาชนิดคล็อกหรือชนิดวอตช์ (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 7.27 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 13.24%) เป็นต้น

อันดับ 3 กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (มูลค่า 109.38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และขยายตัวได้ดี อยู่ในกลุ่มสินค้าอาหาร อาทิ สับปะรดกระป๋อง (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 31.58 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 14.65%) ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็ก และปลาโบนิโต (ชนิดซาร์ดา) (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 9.81 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 70.01%) ซอสและของปรุงแต่งสำหรับทำซอส (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 8.12 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 39.16%) เป็นต้น

อันดับ 4 นอร์เวย์ (มูลค่า 14.56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และขยายตัวได้ดี อาทิ ข้าวโพดหวาน (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 3.64 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 42.93%) อาหารปรุงแต่งอื่นๆ (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 2.36 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว2.36%) เครื่องแต่งกายของสตรีหรือเด็กหญิงทำด้วยขนแกะหรือขนละเอียดของสัตว์ (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 1.22 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 132.46%) พาสต้ายัดไส้จะทำให้สุกหรือปรุงแต่งโดยวิธีอื่นหรือไม่ก็ตาม (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 0.52 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 197.94%) พืชผักอื่น ๆ ที่ปรุงแต่งหรือทำไว้ไม่ให้เสีย (มูลค่าการใช้สิทธิฯ 0.45 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 35.17%) เป็นต้น

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า สหรัฐฯ ยังคงครองแชมป์การใช้สิทธิ GSP สูงสุดต่อเนื่อง แม้ว่าการต่ออายุโครงการ GSP ที่สิ้นสุดลงไปเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 จะยังอยู่ระหว่างการพิจารณาผ่านร่างกฎหมายจากรัฐสภาสหรัฐฯ ทั้งนี้ เนื่องจากการใช้สิทธิ GSP สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยังคงทำได้ตามปกติ เพียงแต่ผู้นำเข้าสหรัฐฯ จะต้องจ่ายภาษีหรือวางหลักประกันการนำเข้าสินค้าไปก่อน โดยคาดว่าจะได้รับภาษีคืนเมื่อสหรัฐฯ ต่ออายุโครงการ GSP แล้วเสร็จ

สำหรับการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์ ผู้ส่งออกที่ประสงค์จะใช้สิทธิ GSP สามารถรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ด้วยตนเอง โดยขึ้นทะเบียนกับกรมการค้าต่างประเทศที่เว็บไซต์ http://self-cert.dft.go.th/self-cert/home/ManualRex.aspx ซึ่งการส่งออกโดยใช้สิทธิประโยชน์จะช่วยสร้างแต้มต่อและโอกาสในการส่งออกสินค้า ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ก.พ. 65)

Tags: , , , , , ,