ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี (3 ก.พ.) หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศนโยบายการเงินท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 468.63 จุด ลดลง 8.38 จุด หรือ -1.76%
- ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,005.63 จุด ลดลง 109.64 จุด หรือ -1.54%,
- ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,368.47 จุด ลดลง 245.30 จุด หรือ -1.57% และ
- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,528.84 จุด ลดลง 54.16 จุด หรือ -0.71%
ตลาดหุ้นยุโรปถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ร่วงลง 3.4% โดยถูกกดดันหลังจากที่บริษัทเมตา (เฟซบุ๊ก) ของสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอเกินคาด ขณะที่บรรดาเทรดเดอร์มีความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงินท่ามกลางเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.50% ในการประชุมในวันพฤหัสบดีตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าวถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 30 ปี และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2547
นอกจากนี้ BoE ยังคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อในอังกฤษจะแตะระดับสูงสุดที่ 7.25% ในเดือนเม.ย. จากเดิมที่คาดไว้ที่ระดับ 6% หลัง Ofgem ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐบาลอังกฤษที่มีหน้าที่กำหนดเพดานค่าไฟฟ้า ได้ประกาศปรับเพดานค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับภาคครัวเรือนในวันนี้ โดยจะเพิ่มขึ้น 54% ในเดือนเม.ย. จากปัจจุบันที่มีการกำหนดเพดานเฉลี่ยที่ระดับ 1,277-1,370 ปอนด์ต่อปี
ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมในวันพฤหัสบดีตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แม้ว่าเงินเฟ้อของยูโรโซนพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และปรับตัวเหนือเป้าหมาย 2% ของ ECB
ทั้งนี้ ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
ขณะเดียวกัน ECB ระบุว่า ทางธนาคารจะยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) วงเงิน 1.85 ล้านล้านยูโรในเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงินเปิดเผยในวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-บริการของยูโรโซน ร่วงลงสู่ระดับ 52.3 ในเดือนม.ค. จาก 53.3 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2564 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ขั้นต้นที่ 52.4
หุ้นเอสเคเอฟ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตลูกปืนและซีลของสวีเดนร่วงลงกว่า 9% หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2564
หุ้นเชลล์ของอังกฤษบวก 1.43% หลังรายงานผลกำไรเต็มปีอยู่ที่ 1.929 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2564 พุ่งขึ้นจากระดับผลกำไรในปี 2563 ที่ 4.85 พันล้านดอลลาร์ และสูงกว่าที่ผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์โดย Refinitiv คาดการณ์ไว้ที่ 1.78 หมื่นล้านดอลลาร์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ก.พ. 65)
Tags: ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นยุโรป