ทิสโก้ คาดเฟดส่งสัญญาณเข้มงวดนโยบายกดดันหุ้นร่วงแนะช้อนหุ้นกลุ่มเมตาเวิร์ส

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง เพราะกังวลเรื่องธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเดินหน้านโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น การปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้ปัจจุบันราคาหุ้น (Valuation) เริ่มน่าสนใจที่จะเริ่มพิจารณาเข้าซื้อหุ้นอีกครั้ง

และถึงแม้ว่าเฟดจะยังไม่ประกาศเดินหน้านโยบายการเงินที่เข้มงวดอย่างเป็นทางการ แต่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี และราคาหุ้นน่าจะรับรู้ข่าวดังกล่าวไปค่อนข้างมากแล้ว โดยคาดว่าอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ของ S&P 500 มีโอกาสปรับลงจากปัจจุบันได้เพียง 2 – 5% เท่านั้น เพราะปัจจัยกดดันราคาหุ้นอย่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นมาจากราว 1.4% ในเดือนธันวาคม มาอยู่ที่ 1.8% ในปัจจุบันนั้นได้สะท้อนแนวโน้มนโยบายที่เข้มงวดไปมากแล้วและมีโอกาสปรับขึ้นได้อย่างจำกัด ขณะที่ตลาดซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสะท้อนเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยไปจนถึงระดับ 2% แล้ว

“หากในการประชุมเฟดที่จะมีขึ้นในคืนวันที่ 26-27 ม.ค.นี้ ส่งสัญญาณถึงนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ประเมินว่าดัชนี S&P 500 จะปรับลดลงมาซื้อขายด้วยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ที่ 18.5 – 19 เท่า ซึ่งต่ำกว่าระดับปัจจุบันเพียง 2 – 5% เท่านั้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Bond Yield) อาจปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.0 – 2.1%

ดังนั้น ปัจจุบัน Valuation ของตลาดหุ้นถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจแล้ว โดยส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ลบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (Earning Yield Gap) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.4% ใกล้เคียงกับกรอบบนในช่วงปี 2561 ที่เฟดเดินหน้าลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening หรือ QT)” นายคมศรกล่าว

สำหรับคาดการณ์ผลการประชุมเฟดที่จะมีขึ้นในคืนวันที่ 26-27 ม.ค.65 ตามเวลาประเทศไทยนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะส่งสัญญาณ 3 ประเด็นคือ 1. เฟดอาจส่งสัญญาณถึงการขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น เป็น 4 ครั้งในปีนี้ 2. เฟดจะประกาศยืนยันยุติมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (QE) ในเดือนมีนาคมนี้ และ 3. เฟดอาจระบุถึงแนวทางในการลดขนาดงบดุลเพิ่มเติม

ทั้งนี้ หากเฟดส่งสัญญาณถึงนโยบายการเงินที่จะเข้มงวดขึ้นเร็วกว่านี้ เช่น ขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.50% (50bps) จากปกติที่ 0.25% (25bps) หรือประกาศยุติการทำ QE ในการประชุมนี้เลย ตามที่ตลาดเริ่มมีการพูดถึง ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นปรับฐานลงอีก แต่จะไม่มากนักเมื่อเทียบกับระดับราคาในปัจจุบัน

ด้านนายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า แนะนำให้นักลงทุนอาศัยจังหวะที่เฟดส่งสัญญาณเดินหน้านโยบายการเงินที่เข้มงวด ทยอยเข้าซื้อหุ้นธีมเมตาเวิร์ส (Metaverse) โดยปัจจุบันหุ้นธีมเมตาเวิร์สได้ปรับลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนพ.ย.64 ประมาณ 25-30% ทำให้มีโอกาสสร้างกำไรจากการเพิ่มขึ้นของ Upside โดยนักวิเคราะห์จากบลูมเบิร์ก (Bloomberg consensus) ประเมินว่ามูลค่าตลาดของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์สจะพุ่งสูงขึ้นจาก 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 64 ไปแตะ 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 67 หรือคิดเป็นการเติบโตกว่า 3.4 เท่าภายในระยะเวลา 4 ปี

นอกจากนี้ หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มนี้หลายบริษัทซื้อขายอยู่ในดัชนี S&P 500 เช่น Apple, Microsoft NVIDIA และ Meta (Facebook) ซึ่งหุ้นกลุ่มเมตาเวิร์สนี้นับเป็น New S-curve ที่สำคัญในการสร้างรายได้ในอนาคตให้บริษัทเติบโตในยุคดิจิทัลที่กำลังจะเกิดขึ้นในสังคมตามภาพของเมกะเทรนด์ (Megatrend) ของโลก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ม.ค. 65)

Tags: , , ,