นายพงศ์ธวัช โพธิกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ประเทศส่วนใหญ่รวมถึงไทย เห็นว่าการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ ยังมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการชำระเงิน และเสถียรภาพระบบการเงิน หากมีการใช้อย่างแพร่หลาย ซึ่งเรื่องนี้ในแต่ละประเทศจะมีแนวทางการกำกับดูแลที่แตกต่างกันไป เช่น การห้ามใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการชำระค่าสินค้าและบริการ, การกำกับดูแลผู้ให้บริการ และการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภท และการจำกัดปริมาณการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นต้น
สำหรับแนวทางของต่างประเทศ ในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้ชำระค่าสินค้าและบริการนั้น ในปัจจุบันสามารถแบ่งกลุ่มการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลของธนาคารกลางแต่ละประเทศ ได้ 3 กลุ่มหลัก คือ
1. ประเทศที่ยอมรับและอนุญาตให้มีการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในการชำระค่าสินค้าและบริการ เช่น เอลซาวาดอร์
2. ประเทศที่อยู่ระหว่างการพิจารณานโยบายและหลักเกณฑ์การกำกับดูแล หากจะมีการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในการชำระค่าสินค้าและบริการ แต่ไม่ห้ามเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่สุด และไทยเองก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน เช่น
– อินเดีย อยู่ระหว่างเสนอกฎหมายเพื่อห้ามการใช้คริปโทเคอเรนซี เป็นสื่อการชำระเงิน (Means of Payment)
– มาเลเซีย มองว่าคริปโทเคอเรนซี ไม่มีคุณสมบัติที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการชำระเงินได้
– ฮ่องกง อยู่ระหว่างพิจารณานโยบาย และติดตามท่าทีของต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ
– สิงคโปร์ กำกับเหรียญที่เข้าข่าย e-money, ออกไกด์ไลน์จำกัดการโฆษณา โดยห้ามโฆษณาเทรดคริปโทฯ ในพื้นที่สาธารณะ และจุดที่โฆษณาได้จะต้องแจ้งความเสี่ยงไว้ชัดเจน
– อังกฤษ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น และจะมีการแยกประเภทของเหรียญในการออกกฎเกณฑ์กำกับดูแล
3. ประเทศที่ไม่ยอมรับและไม่อนุญาตให้มีการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในการชำระค่าสินค้าและบริการ เช่น
– จีน ที่เห็นว่าคริปโทเคอร์เรนซี และการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซี ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
– อินโดนีเซีย ห้ามใช้คริปโทเคอร์เรนซีในการชำระค่าสินค้าและบริการ และสภาศาสนาอิสลาม ห้ามใช้คริปโทเคอร์เรนซีเป็นสกุลเงิน
“ธนาคารกลางทุกประเทศมีการคุยกันอย่างต่อเนื่อง เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ มีความผันผวน และเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีที่มาของมูลค่าชัดเจน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ธนาคารกลางทุกประเทศค่อนข้างห่วง เพราะกลัวว่าจะมาลดทอนเสถียรภาพของการเงิน…ในมุมมองของไทยแล้ว เราไม่ได้ต่างจากประเทศอื่นส่วนใหญ่ที่คิดเหมือนกัน”
นายพงศ์ธวัช กล่าว
พร้อมระบุว่า ในส่วนของ ธปท.นั้น ไม่สนับสนุนการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) เพื่อป้องกันผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบชำระเงิน เสถียรภาพระบบการเงิน และความเสียหายแก่สาธารณะ แต่อย่างไรก็ดี ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น เพื่อออกเกณฑ์กำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในเร็วๆ นี้
“มุมมองของ ธปท.ที่ไม่สนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าและบริการนั้น ไม่ได้ต่างจากธนาคารกลางประเทศอื่นๆ เพียงแต่เกณฑ์ของแต่ละประเทศมีบริบทต่างกัน ประเทศที่ตอนนี้ยังไม่ออกกฎเกณฑ์ ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ออก การออกกฎเกณฑ์มีหลายดีกรี แต่เราคงไม่ปิดทุกทาง เรื่องที่เกี่ยวกับนวัตกรรมเราสนับสนุน และให้ความสำคัญ”
นายพงศ์ธวัช ระบุ
ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนบางราย มีการออกเหรียญคริปโทฯ ไปแล้ว ก็อาจจะต้องมีการปรับปรุงเพื่อให้เข้ากับหลักเกณฑ์ที่กำลังจะออกมาในเร็วๆ นี้ และคงต้องมีช่วงเวลาเพื่อให้ปรับตัว
ส่วนกรณีของธนาคารพาณิชย์นั้น ธปท.ได้เคยมีหนังสือเวียนถึงแนวทางปฏิบัติไปก่อนหน้านี้แล้ว ว่าการจะลงทุนหรือเข้าไปเก็งกำไรในคริปโทฯ ไม่สามารถทำได้ เพราะถือว่าเป็นการนำเงินฝากของประชาชนไปเสี่ยง แต่หากเป็นการนำไปลงทุนในส่วนที่เกี่ยวกับการต่อยอดหรือพัฒนานวัตกรรมก็สามารถทำได้ รวมทั้งมีเพดานสำหรับการลงทุนในธุรกิจที่เป็นฟินเทคไว้แล้ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ม.ค. 65)
Tags: Cryptocurrency, คริปโทเคอร์เรนซี, ณพงศ์ธวัช โพธิกิจ, ธปท., สินทรัพย์ดิจิทัล