DBSV ให้เป้า SET ปีนี้แตะ 1,800 รับผลดีรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ-โอมิครอนไม่แรง

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) (DBSV) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นปี 65 ดัชนีหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเป้าหมาย 1,800 จุด เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับดัชนีปิดสิ้นปี 64 อยู่ที่ 1,658 จุด อิงกับ EPS growth ที่ 9% และ P/E 19.4 เท่า (เท่ากับระดับปิดสิ้นปี 64)

ปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้น คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ 3.4% ได้รับอานิสงส์จากการบริโภคและการลงทุนของภาครัฐที่ขยายตัวดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น คนละครึ่ง เฟส 4 (เริ่ม 21 ก.พ) มาตรการด้านการท่องเที่ยว มาตรการสนับสนุนธุรกิจ SME

รวมทั้งได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่คาดการณ์ว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อไป จนถึงต้นไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นมีความน่าสนใจ หุ้นปันผลจ่ายผลตอบแทนสูงชนะเงินเฟ้อและดอกเบี้ย นอกจากนี้ ยุโรปเริ่มพิจารณาให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น และผู้คนสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้

สำหรับปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุน คือ ภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่เติบโตชะลอตัวลงหลังใช้มาตรการคุมเข้มโควิดโอมิครอน รวมทั้งตลาดยังมีความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะมีการปรับเพิ่มดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ หลังจากที่ภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ส่วนปัจจัยลบในประเทศ คือ กรณีที่นักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศได้มีการยกเลิก และเลื่อนการจองห้องพักแล้ว 25-50% หลังจากที่มีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 สายพันธ์โอมิครอน

ปัจจัยที่ต้องติดตามและอาจจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้ คือ การประชุมเฟดในวันที่ 25-26 ม.ค.นี้ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยชัดเจนขึ้น รวมถึง มาตรการสนับสนุนยานยนต์ EV (ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% และการให้เงินอุดหนุนผู้ซื้อรถ) รวมทั้งผลการทำประชาพิจารณ์ (Hearing) ครั้งที่ 2 เรื่องการลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์-จักรยานยนต์ และรายละเอียดการเก็บภาษีขายหุ้น 0.1% ของมูลค่าขายที่กรมสรรพากรกำลังเร่งผลักดัน

กลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ ฝ่ายวิเคราะห์แนะให้เลือกลงทุนและทยอยสะสมหุ้นธีมเด่นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มธุรกิจประกัน รวมทั้งหุ้น Mega Trend ที่เกี่ยวข้องกับ รถยนต์ EV แบตเตอรี่ โรงไฟฟ้า โรงพยาบาล ดิจิตอล & ความปลอดภัยด้านไซเบอร์ เป็นต้น อีกทั้งหุ้นที่อยู่ในธีม ESG หรือหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (อยู่ใน SETTHSI-ดัชนีหุ้นยั่งยืน)

นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ DBSV กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนที่ไม่รุนแรงอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ ทำให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และไม่น่าจะมีการปิดเมืองเหมือนปีที่ผ่านมา โดยดูจากจำนวนผู้ติดเชื้อน้อยกว่าคาดไว้ผู้เสียชีวิตน้อยลงอยู่ระดับหลักสิบ ถือว่าเป็นไปด้วยดีจากการระดมฉีดวัคซีนที่มียอดสะสมมากกว่า 100 ล้านโดส และยังมีการเร่งฉีดเข็มบูสเตอร์เข็ม 3-4 รวมถึงมีความพร้อมในการรับมือมากขึ้น

สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ธปท.คาดว่าปีนี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศประมาณ 5-6 ล้านคน และปี 66 เพิ่มเป็น 20 ล้านคน โดยตัวแทนหุ้นท่องเที่ยวฟื้นตัว แนะนำ “ซื้อ” AOT ให้ราคาพื้นฐาน 75 บาท (DCF) จากแนวโน้มธุรกิจคาดว่าจะดีขึ้น ตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 65 จากการเปิดประเทศมากขึ้น ทำให้การท่องเที่ยวจากทั้งภายในและต่างประเทศฟื้นตัวดีขึ้นแนวโน้มระยะยาว ส่วนความเสี่ยงอาจมาจาก นักท่องเที่ยวจีนพิ่มน้อยการเรียกเก็บผลตอบแทน King Power ลดลง

ส่วน CPN เป็นหุ้นรายแรกๆ ที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 66 บาท (DCF) คาดการณ์ว่ารายได้ค่าเช่าและบริการในปี 65 จะดีขึ้นจากส่วนลดค่าเช่าที่ต่ำลง หลังจากปี 64 คาดว่ามีรายได้เป็นเพียง 65% ของปี 62 ก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 66 คาดว่ากลับสู่ระดับปกติได้ หลังสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย ประมาณการกำไรสุทธิปีนี้เติบโต 21.6% หลังจากหดตัว 19.7% ในปี 64 ถือว่ากลับมาฟื้นตัวได้ดีมาก

AMATA จะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว การเปิดประเทศทำให้ยอดขายที่ดินในนิคมฯกระเตื้องขึ้น รายได้สาธารณูปโภคและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนสูงขึ้นได้อานิสงส์จากการลงทุนในพื้นที่ EEC ขณะที่ภาครัฐให้การส่งเสริมลงทุนพัฒนาที่ดินในประเทศลาว เป็นสมาร์ท แอนด์ อีโคซิตี้ ติดกับสิบสองปันนา คาดว่าจะเป็นผลดีในระยะยาว เพราะมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงลาว-จีนเชื่อมต่อ ราคาพื้นฐาน 23 บาท

PTTEP แนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 160 บาท (DCF) คาดการณ์กำไรสุทธิปี 65 เพิ่มขึ้น 15% สะท้อนปรับสมมติฐานราคาน้ำมัน BRENT ขึ้นเป็น 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเดิม 70 ดอลลาร์/บาร์เรลปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน คือ อุปทานที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าอุปสงค์ กลุ่มโอเปกพลัสคงนโยบายเพิ่มการผลิต 4 แสนบาร์เรล/วันสำหรับเดือน ก.พ.65

กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์ มีความสำคัญต่ออุปกรณ์ไฮเทคทั้งรถยนต์ EV และโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่ๆ ถือเป็นโอกาสธุรกิจที่ดีกับทั้ง HANA และ KCE ในการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ และเงินบาทอ่อน

จากภาวะเงินเฟ้อสูงกลุ่มอุตสาหกรรม PFPO & REIT ที่มีเงินปันผลสูงเป็นเกราะป้องกันในภาวะเกิดเงินเฟ้อ โดย หุ้นกลุ่ม WHART ฟื้นตัวได้ดี มีคลังสินค้าเพื่อการขนส่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดี แนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วของ e-commerce ปันผลสูง ยิลด์ราว 6% ให้ราคาพื้นฐาน 14.60 บาท ส่วน DIF ราคาพื้นฐาน 15.90 บาทมีความมั่นคงด้านรายได้ และกำไรจากการลงทุนได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในระดับสูง ส่วนการเติบโตมาจากTRUE ขายสินทรัพย์เข้ามายังกองทรัสต์ฯ เพิ่มเติม ปันผลสูง ยิลด์ราว 7.2%

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ทำให้มีภาระการผ่อนดาวน์น้อยลง เหมือนเพิ่มกำลังซื้อ และขยายเวลาลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองไปอีก 1 ปี หุ้นแนะนำ คือ AP, LH, ORI, SPALI ปันผลสูงคือ LALIN, SC และ SENA

อุตสาหกรรมพาณิชย์ การที่รัฐกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมีโครงการช็อปดีมืคืน แม้มีปัญหาอัตราเงินเฟ้อ, SSSG ฟื้นเพราะเปิดเมือง เช่น กลุ่มจำหน่ายสินค้ามือถือ และไอที ได้ประโยชน์ WFH เช่น COM7 และกลุ่มจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่ง เช่น HMPRO และ GLOBAL

ด้านนายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ DBSV กล่าวว่า ตลาดหุ้นโลกยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดี แม้ว่านโยบายการเงินของเฟดจะเข้มงวดขึ้น โดยคาดว่ามาตรการ QE จะจบในเดือน มี.ค.นี้ และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 6 ครั้งในช่วงปี 65-66 ส่วนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐใกล้จุดสูงสุดแล้ว โดยได้ปรับขึ้นสู่จุดที่สูงสุดในรอบหลายสิบปีเพราะปัญหาซับพลายปรับตัวไม่ทันกับดีมานด์ที่ฟื้นตัวแรง

สำหรับมุมมองการลงทุนนั้น DBSV มองว่าผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นยังดีกว่าตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะตลาดที่พัฒนาแล้ว ดีกว่าตลาดเกิดใหม่ โดยหุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นเทคโนโลยี เฮลท์แคร์ และการเงิน โดยธีมเด่น “Metaverse” ผสมระหว่างชีวิตจริงและดิจิทัลหนุนบริษัท I.D.E.A. (Innovators, Disruptors, Enables, Adapters) และเป็นปัจจัยบวกกับกลุ่ม Big Tech, game engines, semiconductors

ขณะที่พอร์ตการลงทุนแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในช่วง 3 เดือนในหุ้นสหรัฐ หุ้นยุโรป ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ และทองคำ (ป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ) ส่วนน้ำหนักลงทุนในช่วง 12 เดือน ให้เพิ่มการลงทุนในหุ้นสหรัฐ หุ้นเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) และทองคำ

แนวโน้มเศรษฐกิจปี 65 ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อินเดียจะ เติบโตชะลอตัวลง ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น ไทย มาเลเซีย อินโนนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม จะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะเร่งตัวสูงขึ้น ส่วนความเสี่ยงหลัก จะมาจากความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล เทคโนโลยี สภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม

นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ DBSV กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำมีโอกาสแกว่งรอขึ้น แต่ต้องไม่หลุด 1,770 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์, 1,750 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ และ 1,680 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ส่วนค่าเงินบาทมีแนวรับที่ 32.80-32.50 บาท ซึ่งหากไม่หลุดแนวรับดังกล่าว ยังอ่อนค่าในระยะกลาง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ม.ค. 65)

Tags: , , , , ,