นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่มีการพบโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเป็นครั้งแรกในโลกในช่วงเดือนพ.ย. 64 โควิดสายพันธุ์ที่น่ากังวลสายพันธุ์ใหม่นี้แพร่กระจายไปมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก โดยจากข้อมูลของโมเดอร์นา และไฟเซอร์ช่วงก่อนวันคริสต์มาสระบุว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้น ช่วยให้ภูมิคุ้มกันกลับมาสูงขึ้น ช่วยป้องกันการติดเชื้อและช่วยลดอาการรุนแรงลง
ทั้งนี้ ยืนยันว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นมีความจำเป็นมาก เพราะเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา และเป็นธรรมชาติที่เชื้อต้องการอยู่รอด จึงปรับตัวหนีภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราไปเรื่อยๆ วิธีที่จะจัดการไม่ให้เชื้อหนีเราไปได้มี 2 วิธี คือ การทำให้ภูมิคุ้มกันของเราสูงขึ้นหรือหาวัคซีนใหม่ แต่สำหรับโควิด-19 ที่มีการระบาดต่อเนื่องแบบนี้ การหาวัคซีนใหม่นั้นยากเพราะต้องใช้เวลา
“การกระตุ้นไม่ให้ภูมิคุ้มกันลดลงจึงเป็นทางออกในตอนนี้ วัคซีนหรือยาทั่วไปก็เหมือนกันคือเมื่อร่างกายได้รับวัคซีนหรือยาแล้ว ภูมิคุ้มกันจะสูงอยู่ระยะหนึ่งก่อนที่จะค่อยๆ ลดลง เราจึงต้องกระตุ้นอยู่เรื่อยๆ เพื่อรักษาระดับภูมิคุ้มกันให้สูงไว้จนกว่าเราจะมีวัคซีนโควิด-19 ใหม่ หรือโควิดไม่เป็นโรคระบาดแล้ว และกลายเป็นเหมือนไข้หวัดตามฤดูกาล”
นพ.นิธิ กล่าว
อย่างไรก็ดี คำถามสำคัญตอนนี้ คือ ปริมาณของวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นต้องใช้แค่ไหนจึงจะเหมาะสม ขณะนี้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบระดับภูมิคุ้มกันหลังจากฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ของโมเดอร์นาเข็มกระตุ้น ขนาด 50 ไมโครกรัมและ 100 ไมโครกรัม และจะเน้นการวิจัยในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ทั้ง 2 เข็มแรกเป็นวัคซีนชนิดเดียวกัน เช่น ได้รับวัคซีนซิโนฟาร์ม 2 เข็มแรก หรือวัคซีนแอสตร้าเซนเนกา 2 เข็มแรก
สำหรับสาเหตุที่จำเป็นต้องทำการวิจัยนี้ในประเทศไทย เนื่องจากการศึกษาในต่างประเทศนั้น ประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนเข็มแรกและเข็มสองเป็นชนิด mRNA ส่วนในประเทศไทย ในระยะแรกประชาชนได้รับวัคซีนชนิดเชื้อตายเป็นส่วนใหญ่ ก่อนจะเป็นวัคซีนชนิดไวรัลเวคเตอร์ ผลการศึกษาจากต่างประเทศจึงอาจมีข้อมูลที่แตกต่างไป จึงจำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ
ในส่วนของการวิจัยนี้ จะเน้นศึกษาระดับภูมิคุ้มกันที่มีต่อโปรตีนหนาม (Spike Protein) ที่ไวรัสใช้จับกับตัวรับบนเซลล์ของร่างกาย คือ IgG และใช้วัคซีนชนิด mRNA เป็นเข็มกระตุ้น เนื่องจากผลการวิจัยทั่วโลกยืนยันว่า วัคซีนชนิด mRNA เป็นวัคซีนที่กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าวัคซีนชนิดอื่น
“ตอนนี้เรายังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งโดยเฉพาะ เราจึงต้องอาศัยวัคซีนชนิด mRNA ที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิได้มากเป็นหลัก ในการวิจัย และต้องใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเสร็จสิ้น จึงน่าจะทราบผลการวิจัยประมาณเดือนก.พ. 65”
นพ.นิธิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้แนะนำว่า ประชาชนควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันและการรักษาโควิด-19 รวมทั้งติดตามข้อมูลทางวิชาการอยู่เสมอ เพราะมีข้อมูลใหม่ออกมาอยู่เรื่อยๆ ขณะเดียวกันบริษัทผู้ผลิตยา และเวชภัณฑ์ต่างก็มีการพัฒนาวัคซีนใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
“เราไม่ควรกังวลมากเกินไปกับข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะแพทย์จะต้องหาวิธีที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนอยู่แล้ว สิ่งที่ทุกคนควรทำ คือ เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคนี้ให้ได้ พยายามอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทดี ใส่หน้ากากล้างมือ ไม่อยู่ใกล้กันมากเกินไป แต่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จะให้อยู่ห่างกันมากคงไม่ได้ ดังนั้น วัคซีนจึงมีความสำคัญมากในขณะนี้ และควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อรักษาระดับภูมิคุ้มกันไม่ให้ลดลงมาก”
นพ.นิธิ กล่าว
สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนชนิด mRNA ไปแล้ว แนะนำว่าให้ทิ้งช่วงประมาณ 4-6 เดือนก่อนจะรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนชนิดเชื้อตาย ควรทิ้งช่วงประมาณ 2-3 เดือน และไวรัลเวคเตอร์ 3-6 เดือน ทั้งนี้ ระยะห่างก่อนฉีดเข็มกระตุ้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับอัตราการระบาดในสังคม ความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ รวมถึงความเสี่ยงจากโรคประจำตัวของแต่ละคน ที่จะทำให้ระดับความรุนแรงของโรคมีมากขึ้น ดังนั้น วัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น จึงเป็นทางเลือกที่ได้ผลมากที่สุด จนกว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) จะประกาศว่าการระบาดของโควิด-19 ยุติลงแล้ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ม.ค. 65)
Tags: COVID-19, ฉีดวัคซีนโควิด, นิธิ มหานนท์, ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์, วัคซีนต้านโควิด-19, วัคซีนเข็มกระตุ้น, โควิด-19, โอมิครอน