ดาวโจนส์ปิดลบ 106.77 จุด กังวลเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลัง PPI พุ่ง

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่พุ่งขึ้นทำนิวไฮในเดือนพ.ย.จะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,544.18 จุด ลดลง 106.77 จุด หรือ -0.30%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,634.09 จุด ลดลง 34.88 จุด หรือ -0.75% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,237.64 จุด ลดลง 175.64 จุด หรือ -1.14%

บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า การพุ่งขึ้นของดัชนี PPI จะเป็นปัจจัยผลักดันให้เฟดเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี PPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต พุ่งขึ้น 9.6% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนพ.ย. 2553 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.2% หลังจากดีดตัวขึ้น 8.8% ในเดือนต.ค.

ทิฟฟานี วิลดิง นักวิเคราะห์จากบริษัทแปซิฟิก อินเวสเมนท์ แมเนจเมนท์ (PIMCO) คาดการณ์ว่า เฟดจะประกาศในการประชุมครั้งนี้ว่าจะเร่งปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2565 เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นเป็นเวลานาน

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก PIMCO คาดว่าเฟดจะประกาศลดวงเงิน QE เดือนละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มในเดือนม.ค. 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และจะประกาศเจตนารมณ์ในการยุติโครงการ QE ในเดือนมี.ค. 2565 ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นลงในวันพุธที่ 15 ธ.ค.นี้ตามเวลาสหรัฐ

หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 1.64% โดยหุ้นไมโครซอฟท์ ดิ่งลง 3.26% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ร่วงลง 1.43% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 1.09% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 1.32% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ร่วงลง 1.26%

ดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลง 1.27% โดยหุ้นโจนส์ แลง ลาซาลล์ ร่วงลง 1.1% หุ้นซีบีอาร์อี กรุ๊ป ลดลง 1.19% หุ้นอาร์มาดา ฮอฟเฟอร์ พร็อพเพอร์ตีส์ ร่วงลง 2.4%

หุ้นเทสลา ปรับตัวลง 0.82% หลังจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) เปิดเผยข้อมูลระบุว่า นายอีลอน มัสก์ ได้ขายหุ้นในบริษัทเทสลาอีกจำนวน 934,091 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 906.49 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น 0.62% โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าเฟดอาจส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้ ทั้งนี้ หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 1.07% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 1.26% หุ้นเจพีมอร์แกน เพิ่มขึ้น 0.77% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ดีดขึ้น 0.68%

หุ้นไฟเซอร์ ปรับตัวขึ้น 0.62% หลังไฟเซอร์เปิดเผยผลการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายซึ่งยืนยันว่า ยาแพกซ์โลวิดของทางบริษัทสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% นอกจากนี้ ยาแพกซ์โลวิดยังมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟดซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ย.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ธ.ค. 64)

Tags: , , ,