ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันอังคาร (14 ธ.ค.) โดยปรับตัวลงเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเฮลท์แคร์ที่ร่วงลง และถูกกดดันจากการที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดตลาดติดลบหลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้นเกินคาด ขณะที่นักลงทุนดูรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธนี้ตามเวลาสหรัฐหรือเช้าตรู่วันพฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทย
- ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 469.56 จุด ลดลง 3.97 จุด หรือ -0.84%
- ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,895.31 จุด ลดลง 47.60 จุด หรือ -0.69%,
- ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,453.56 จุด ลดลง 168.16 จุด หรือ -1.08% และ
- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,218.64 จุด ลดลง 12.80 จุด หรือ -0.18%
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงแตะระดับต่ำสุดของวัน โดยถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะเร่งลดการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ให้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ นักลงทุนจะจับตาธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประชุมนโยบายการเงินในวันพฤหัสบดีนี้
สถาบัน Ifo ของเยอรมนี ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีหน้า โดยระบุว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 4 และปัญหาคอขวดด้านอุปทานกำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเยอรมนี
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลง 2.1% และหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ ลดลง 1.2% แต่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ ปรับตัวขึ้นตามราคาทองแดงและแร่เหล็ก ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจากแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงิน
หุ้นเรนโทคิล ร่วง 12.3% จากแผนซื้อกิจการเทอร์มินิกซ์ของสหรัฐซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งเป็นวงเงิน 6.7 พันล้านดอลลาร์
หุ้นบีที ร่วง 4.3% หลังแพทริค ดราฮี นักลงทุนสัญชาติฝรั่งเศส-อิสราเอล เพิ่มการถือหุ้นเป็น 18% ส่งผลให้อังกฤษเตือนว่า อาจเข้าแทรกแซงหากจำเป็น เพื่อปกป้องบีทีในการสร้างเครือข่ายไฟเบอร์ที่สำคัญของประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ธ.ค. 64)
Tags: ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นยุโรป