ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยรายงานในวันศุกร์ (4 มิ.ย.) ระบุว่า วัยรุ่นในสหรัฐที่ติดเชื้อโควิด-19 มีอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยายาลเพิ่มขึ้นในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
การรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 นั้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุ แต่โรคร้ายแรงที่ต้องรักษาในโรงพยาบาลนั้นเกิดขึ้นในทุกกลุ่มอายุ รวมถึงวัยรุ่นที่มีอายุ 12 ถึง 17 ปี
CDC ได้ทำการตรวจสอบการรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 ในวัยรุ่นที่มีอายุ 12-17 ปี ซึ่งรวมถึงลักษณะทางประชากรและทางคลินิกของวัยรุ่นที่เข้ารับการรักษาระหว่างวันที่ 1 ม.ค.ถึง 31 มี.ค. และอัตราการเข้ารับการรักษาของวัยรุ่นในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย.
ข้อมูลของ CDC ระบุว่า อัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของวัยรุ่นที่ติดเชื้อโควิด-19 สูงสุดอยู่ที่ 2.1 คนต่อ 100,000 คนในต้นเดือนม.ค. 2564 ลดลงเหลือ 0.6 คนในกลางเดือนมี.ค. และเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 คนในเดือนเม.ย.
ในบรรดาวัยรุ่นที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น เกือบ 1 ใน 3 จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) และ 5% ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่ยังไม่พบผู้เสียชีวิต
“อัตราการรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ในฤดูใบไม้ผลิ และแนวโน้มการเกิดโรคร้ายแรงได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการฉีดวัคซีนและการสวมหน้ากากอนามัยที่ถูกต้องและสม่ำเสมอในกลุ่มบุคคลที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน” CDC ระบุในรายงาน
โรเชล วาเลนสกี ผู้อำนวยการ CDC ระบุในแถลงการณ์ว่า “ดิฉันรู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่งกับจำนวนวัยรุ่นที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และรู้สึกเสียใจที่เห็นจำนวนวัยรุ่นที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในห้องผู้ป่วยหนัก หรือต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ”
วาเลนสกีกล่าวว่า จนกว่าพวกเขาจะได้ฉีดวัคซีนครบสมบูรณ์ วัยรุ่นควรสวมหน้ากากอนามัยต่อไป และระมัดระวังเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อปกป้องตนเอง ครอบครัว เพื่อนฝูง และชุมชนของพวกเขา
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 มิ.ย. 64)
Tags: CDC, COVID-19, สหรัฐ, โควิด-19