ดาวโจนส์ปิดลบ 33.35 จุดจากแรงขายหุ้นแบงก์, S&P500-Nasdaq ทำนิวไฮต่อเนื่อง

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (4 พ.ย.) โดยถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทำให้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรของภาคธนาคารในสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ยังคงปิดทำนิวไฮ โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และจากการที่นักลงทุนยังคงขานรับผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,124.23 จุด ลดลง 33.35 จุด หรือ -0.09%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,680.06 จุด เพิ่มขึ้น 19.49 จุด หรือ +0.42%
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,940.31 จุด เพิ่มขึ้น 128.72 จุด หรือ +0.81%

หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.54% หลังจากบริษัทควอลคอม อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยกำไรต่อหุ้นพุ่งขึ้น 76% ในไตรมาส 3 สู่ระดับ 2.55 ดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.26 ดอลลาร์ นอกจากนี้ ควอลคอมยังได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์รายได้ในไตรมาส 4 ที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ทั้งนี้ หุ้นควอลคอม ทะยานขึ้น 12.73% หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 12.04% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ดีดขึ้น 1.39% หุ้นไมโครซอฟท์ บวก 0.73% หุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 1.14%

หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 2.07% หลังจากบริษัทเมอร์คและบริษัทริดจ์แบ็ค ไบโอเทราพิวติกส์ แถลงว่า สำนักงานควบคุมกฎระเบียบยาและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพของสหราชอาณาจักร (MHRA) ให้การอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แล้ว โดยการอนุมัติดังกล่าวทำให้สหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรกของโลกที่ให้การอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยาเม็ดรับประทานชนิดแรกที่ใช้สำหรับการรักษาโรคโควิด-19 ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) และองค์การยาแห่งยุโรป (EMA) กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาอนุมัติ

บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากการที่เฟดประกาศว่าจะทยอยปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพ.ย. ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ รวมทั้งถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดซึ่งส่งสัญญาณว่าเฟดยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 269,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 275,000 ราย

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง 1.34% หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 1.533% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 2.35% หุ้นเจพีมอร์แกน ลดลง 1.31% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 2.76% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 2.13%

หุ้นโมเดอร์นา ร่วงลง 17.89% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ที่ระดับ 7.70 ดอลลาร์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 9.05 ดอลลาร์ นอกจากนี้ โมเดอร์นาได้ปรับลดคาดการณ์รายได้จากการจำหน่ายวัคซีนต้านโควิด-19 ประจำปีนี้ลงสู่ช่วง 15,000-18,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 20,000 ล้านดอลลาร์

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะพุ่งขึ้น 450,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้นเพียง 194,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนต.ค.จะลดลงสู่ระดับ 4.7% จากระดับ 4.8% ในเดือนก.ย.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 พ.ย. 64)

Tags: , , ,