ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐเปิดเผยแผนการใช้จ่ายด้านสวัสดิการมูลค่า 1.75 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้ (28 ต.ค.) หลังมีการเจรจาอย่างเข้มข้นกับสมาชิกสภาคองเกรสของพรรคเดโมแครตมาตลอดหลายสัปดาห์
ทำเนียบขาวเผยแพร่แผนการใช้จ่ายที่ชื่อว่า “Build Back Better Framework” ซึ่งครอบคลุมถึงการลงทุนในพลังงานสะอาดและการแก้ปัญหาโลกร้อนจำนวน 5.55 แสนล้านดอลลาร์, งบประมาณอุดหนุนการดูแลเด็กและการเรียนอนุบาลฟรีจำนวน 4 แสนล้านดอลลาร์, การลดหย่อนภาษีรายได้จากการทำงานและค่าลดหย่อนบุตรจำนวน 2 แสนล้านดอลลาร์ และการลงทุนในการสร้างที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาจำนวน 1.5 แสนล้านดอลลาร์
แผนการดังกล่าวมุ่งที่จะจัดเก็บภาษีรูปแบบใหม่กับบริษัทเอกชนรายใหญ่และมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน เพื่อระดมรายได้ราว 2 ล้านล้านดอลลาร์ตลอดช่วง 10 ปีต่อจากนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะนำเงินมาใช้อย่างเต็มที่ในแผนการใช้จ่ายด้านสวัสดิการ
หากแผนการดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ก็จะมีการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำ 15% สำหรับบริษัทที่มีเงินได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ตามที่รายงานต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น และจะจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มจากการซื้อหุ้นคืน 1%
นอกจากนี้ แผนการดังกล่าวยังเรียกเก็บภาษีส่วนเพิ่มจากบุคคลที่มีรายได้เกิน 10 ล้านดอลลาร์ในอัตรา 5% และเรียกเก็บจากบุคคลที่มีรายได้เกิน 25 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นอีก 3%
ทั้งนี้ แผนการใช้จ่ายล่าสุดนี้ มีมูลค่าน้อยกว่าข้อเสนอเดิมของปธน.ไบเดนซึ่งอยู่ที่ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ และยังไม่ได้มีการบังคับใช้เป็นกฎหมาย
“ไม่มีใครได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ รวมถึงผมด้วย แต่นั่นคือการประนีประนอม นั่นคือฉันทามติ” ปธน.ไบเดนแถลงที่ทำเนียบขาว ก่อนจะออกเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอด G20 ในยุโรปในสัปดาห์นี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ต.ค. 64)
Tags: สภาคองเกรส, สวัสดิการ, สหรัฐ, โจ ไบเดน