แกะรอยการเคลื่อนไหวของราคาเหล็กในตลาดโลกหลังจากช่วงครึ่งปีแรกปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่น ส่งผลบวกต่อศักยภาพทำกำไรของบริษัทที่ประกอบกิจการธุรกิจเหล็กมีอัตราการเติบโตก้าวกระโดด เป็นส่วนผลักดันราคาหุ้นกลุ่มเหล็กหลายบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ภาพรวมทิศทางราคาเหล็กช่วงครึ่งปีหลังและหลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 จะยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นตัวแปรสนับสนุนผลประกอบการหุ้นกลุ่มเหล็กได้อีกหรือไม่ ?? *ราคาเหล็กโลกกลับสู่วัฏจักรขาขึ้น (อีกครั้ง)
นายบุญชัย จิระพงษ์ตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เดอะ สตีล (THE) เปิดเผยกับ “อินโฟเควสท์” ว่า หากย้อนรอยช่วงราคาเหล็กในตลาดโลกตกต่ำเป็นภาวะที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเป็นผลจาก “ประเทศจีน” ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกได้ส่งออกเหล็กเป็นจำนวนมาก กดดันราคาเหล็กในตลาดโลกให้เกิดความผันผวน ซึ่งหลายช่วงเวลาที่ราคาปรับลงรุนแรง ส่วนหนึ่งมาจากสิทธิประโยชน์ของทางการจีนที่อุดหนุนผู้ผลิตและส่งออกเหล็ก ทำให้สามารถส่งออกเหล็กในราคาใดก็ได้
แต่มาในระยะหลังนี้จีนประกาศนโยบายใหม่ลดความร้อนแรงอุตสาหกรรมการผลิตลง ไม่ได้มุ่งเน้นภาคการผลิตเหมือนสมัยอดีต ประกอบกับ การผลิตเหล็กต้นน้ำสร้างมลพิษจำนวนมาก ซึ่งจากนโยบายดังกล่าวส่งผลให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้แนวโน้มราคาเหล็กเริ่มส่งสัญญาณกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น
สำหรับสัญญาณความต้องการเหล็กภายในประเทศนั้น คาดว่าจะเห็นการเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจนในไตรมาส 1/65 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภาคส่วนต่างๆ เป็นส่วนกระตุ้นเกิดการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็คต์ของภาครัฐ และการขยายการลงทุนของภาคเอกชน
“ทางการจีนยกเลิกนโยบายสนับสนุนส่งออกเหล็กเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาเหล็กตลาดโลกในปัจจุบันอยู่บนบรรทัดฐานที่ควรจะเป็น มีเสถียรภาพมากขึ้น เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการกลับตัวเป็นขาขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าจุดเปลี่ยนของวัฏจักรจะเป็นขาขึ้นอีกครั้ง แต่ก็อาจจะมีการพักตัวไปบ้างเป็นระยะ เพราะอนาคตมีความเป็นไปได้ผู้ผลิตเหล็กทั้งในไทยและจีนก็อาจจะเพิ่มกำลังการผลิตเข้ามาในตลาดได้เช่นกัน เป็นตัวแปรกดดันราคาเหล็กระยะสั้น แต่หากมองว่าจะกลับเป็นขาลงเหมือนอดีตอีกหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าค่อนข้างยากแล้ว”
นายบุญชัย กล่าว
เชื่อรัฐไม่แทรกแซงราคาเหล็กในไทย เน้นคุมเสี่ยงค่าเงินผันผวน
แม้ว่าจะมีความกังวลของหลายฝ่ายเกี่ยวกับการเข้ามาแทรกแซงของภาครัฐหลังจากราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยอาจขอให้ผู้ประกอบการปรับลดราคาขายเหมือนกับที่เกิดขึ้นในอดีต แต่เชื่อว่ารอบนี้รัฐบาลไม่น่าจะเข้ามาแทรกแซงตลาด เพราะส่วนตัวมองว่าโดยปกติแล้วธุรกิจเทรดดิ้งเหล็กจะมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต่างๆ เพื่อรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ระดับ 5-10% แม้บางช่วงจะมากกว่า 10% ก็เป็นผลจากสต็อกสินค้าต้นทุนเดิมก่อนราคาเหล็กปรับขึ้นในระยะ 3 เดือน ดังนั้น หากภาครัฐเข้ามาแทรกแซงราคาเหล็กในประเทศส่วนตัวมองว่าอาจเกิดภาวะขาดแคลนเหล็ก เพราะคงไม่มีผู้นำเข้ารายใดยอมแบกรับภาระส่วนต่างของราคา
ส่วนความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนนั้น แม้ว่าธุรกิจเทรดดิ้งเหล็กจะสัมพันธ์กับค่าเงินโดยตรง คือเมื่อเงินบาทแข็งค่าก็จะส่งผลให้มีอัตรากำไรทางบัญชีเชิงบวกมากขึ้น แต่หากมีทิศทางอ่อนค่าจะส่งผลด้านลบทางบัญชีเช่นเดียวกัน แต่บริษัทได้ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนกับทางสถาบันการเงินมาโดยตลอด
“โดยปกติแล้วศักยภาพทำกำไรของบริษัทจะมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ในระดับบวกลบ 5-10% อยู่แล้ว แม้ว่าที่ผ่านมาผลประกอบการบางปีจะประสบกับผลขาดทุน เป็นผลจากราคาเหล็กที่มีความผันผวนและอยู่ในทิศทางขาลง แต่ปีนี้เป็นต้นไปเชื่อมั่นว่าแนวโน้มราคาเหล็กที่กำลังเข้าสู่รอบขาขึ้นครั้งใหม่ น่าจะเป็นผลบวกต่อศักยภาพทำกำไรของบริษัทกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น”
นายบุญชัย กล่าว
ทุ่ม 600 ลบ.ซื้อโรงงานผลิตเหล็ก หวังหนุนรายได้ปี 65 ทะลุ 2 หมื่นลบ.
สำหรับภาพรวมรายได้ปี 64 บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากสัญญาณของความต้องการเหล็กในครึ่งปีหลังยังมีเข้ามาต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีบางช่วงที่รัฐบาลใช้มาตรการล็อกดาวน์ แต่ก็ยังมีคำสั่งซื้อเหล็กเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ไม่สามารถขนส่งสินค้าได้เท่านั้น ทำให้เห็นการเร่งตัวของยอดขายตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นช่วงหลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
ส่วนปี 65 บริษัทมีแผนขยายลงทุนเพื่อรองรับการเติบโต โดยมีแนวทางเข้าซื้อโรงงานผลิตเหล็กที่มีใบอนุญาตและเครื่องจักรพร้อมผลิตที่เป็นทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ของสถาบันการเงิน คาดว่าใช้งบลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท เบื้องต้นหากดีลซื้อโรงงานผลิตเหล็กดังกล่าวดำเนินการแล้วเสร็จ คาดว่าจะใช้เวลาใน 2 เดือนปรับปรุงเครื่องจักรก่อนเดินหน้าเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้ให้บริษัทได้ในระยะถัดไป
ขณะที่คาดการณ์แนวโน้มราคาเหล็กน่าจะเริ่มเข้าสู่ภาวะทรงตัว แต่ยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูงเช่นเดิม จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ภาพรวมรายได้ตลอดทั้งปี 65 จะเพิ่มขึ้นไปแตะไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน ขณะที่อัตรากำไรสุทธิคาดว่าจะสามารถทำได้ระดับ 5% สอดคล้องกับศักยภาพทำกำไรในภาวะปกติของบริษัท
“มีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าความต้องการเหล็กจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า เพราะปีนี้มีความต้องการใช้น้อยสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังไม่ผ่อนคลาย แต่ธุรกิจเหล็กยังคงมีปัจจัยบวกคือราคาเหล็กฟื้นตัวโดดเด่นเข้ามาช่วยสนับสนุน”
นายบุญชัย กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ต.ค. 64)
Tags: THE, ธุรกิจเหล็ก, บุญชัย จิระพงษ์ตระกูล, ราคาเหล็ก, หุ้นกลุ่มเหล็ก, หุ้นไทย, เดอะ สตีล