จนท.เฟดประสานเสียงหนุนลดดอกเบี้ย รับมือผลกระทบมาตรการภาษีทรัมป์

คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวว่า บริษัทเอกชนอาจเริ่มปลดพนักงานมากขึ้นหากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาใช้มาตรการภาษีศุลกากรเชิงรุกอีกครั้ง และเขาจะสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย หากพบว่าอัตราว่างงานพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับหลายประเทศเมื่อวันที่ 2 เม.ย. แต่หลังจากนั้นได้ระงับแผนดังกล่าวไว้เป็นเวลา 90 วันเพื่อให้มีการเจรจาต่อรอง

วอลเลอร์กล่าวในวันพฤหัสบดี (24 เม.ย.) ว่า เขาไม่แปลกใจหากมาตรการภาษีศุลกากรขนานใหญ่ของรัฐบาลทรัมป์จะทำให้ภาคเอกชนเลิกจ้างพนักงานมากขึ้น และทำให้อัตราว่างงานปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเขาคาดว่าเฟดจะดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น หากตลาดแรงงานตกอยู่ในภาวะถดถอยอย่างรุนแรง

วอลเลอร์แสดงความเห็นว่า เขาไม่เชื่อว่ามาตรการภาษีศุลกากรจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญก่อนที่จะถึงเดือนก.ค. แต่หลังจากผ่านเดือนก.ค.ไปแล้ว คาดว่าอัตราว่างงานจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หากมาตรการภาษีศุลกากรในระดับสูงถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง อย่างไรก็ดี เขาเน้นย้ำมุมมองที่ว่าผลกระทบด้านเงินเฟ้อที่เกิดจากมาตรการภาษีศุลกากรนั้นจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ทางด้านเบท แฮมแมก ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพ.ค. แต่กล่าวว่าการปรับลดดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นเร็วที่สุดในเดือนมิ.ย. หากมีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ แฮมแมกกล่าวว่า เฟดจะติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง โดยที่ผ่านมานั้น กรรมการเฟดต่างพิจารณามุมมองต่าง ๆ อย่างเปิดกว้าง ทั้งในแง่ที่ว่าเฟดควรจะใช้แนวทางอดทนรอคอย หรือควรจะดำเนินการในทันที โดยหากเฟดมีข้อมูลที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือภายในเดือนมิ.ย. ก็คาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาดังกล่าว

ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียปรับตัวขึ้นในช่วงเช้าวันนี้หลังจากการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟด โดยนักลงทุนคาดหวังว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากมาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 เม.ย. 68)

Tags: , , , ,