พรรคประชาชน เปิดเผยถึงกรณีการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแบบ Feed-in Tariff รอบ 5,200 เมกะวัตต์ และรอบเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์ ที่รัฐบาลเพื่อไทยกำลังสานต่อขบวนการค่าฟ้าแพงจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบดังกล่าวพบความผิดปกติหลายประการ ทั้งการรับซื้อที่แพงเกินจริงเพราะไม่มีการเปิดประมูลราคารับซื้อ กระบวนการคัดเลือกที่เปิดช่องให้เกิดการทุจริตและดุลพินิจในการคัดเลือกเอกชนรายใดก็ได้ จากการที่ไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ในการให้คะแนนเทคนิคออกมาล่วงหน้า ทั้งยังดึงดันจะดำเนินการต่อทั้งที่พบความผิดปกติและมีแนวทางอย่างอื่นที่มีประสิทธิภาพกว่าอย่าง Direct PPA
นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงสาเหตุของปัญหาการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบโดยสรุปว่า การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่รัฐบาลรับซื้อในครั้งนี้ริเริ่มตั้งแต่สมัยรัฐบาลประยุทธ์ เมื่อปี 65 จำนวนกว่า 5,200 เมกะวัตต์ และรอบเพิ่มเติมอีกกว่า 3,600 เมกะวัตต์ ในขณะที่กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยล้นอยู่แล้ว สังเกตได้จากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่กว่า 7 จากทั้งหมด 13 โรงไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเลยแม้แต่วันเดียว
อีกทั้งการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดทั้งสองรอบเกือบ 9,000 เมกะวัตต์ดังกล่าว ยังไม่มีการประมูลราคารับซื้อไฟฟ้า ทำให้ราคารับซื้อต่อหน่วยแพงกว่าต้นทุนที่ควรจะเป็น (แสงอาทิตย์ 2.2 บาท/หน่วย, ลม 3.1 บาท/หน่วย) ซึ่งจะส่งผลโดยตรงให้ราคาไฟฟ้าในอนาคตของประชาชนสูงกว่าความเป็นจริง อีกทั้งระเบียบหลักเกณฑ์และกระบวนการรับซื้อยังมีความผิดปกติอื่น เช่น ไม่ประกาศหลักเกณฑ์การคัดเลือกล่วงหน้า ไม่อนุญาตให้รัฐวิสาหกิจเข้าร่วม ทำให้ในรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ กลุ่มทุนพลังงานรายใหญ่รายเดียวได้สัมปทานไปกว่า 41%
ต่อมาในสมัยรัฐบาลเพื่อไทย ตนและเพื่อนสส. ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเรียกร้องทั้งในและนอกสภาฯ เพื่อให้รัฐบาลตรวจสอบและยกเลิกการรับซื้อที่ผิดปกติดังกล่าว แต่รัฐบาลกลับละเลยต่อข้อพิรุธทุจริตนโยบายและปล่อยให้การรับซื้อไฟฟ้าในรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ เซ็นสัญญาไปกว่า 4,000 เมกะวัตต์
ในขณะเดียวกัน การรับซื้อไฟฟ้ารอบเพิ่มเติมจำนวน 3,600 เมกะวัตต์ ได้มีการออกระเบียบการรับซื้อเพิ่มโดยล็อกโควตา 2,168 เมกะวัตต์ให้ผู้ผ่านเกณฑ์ที่ไม่ได้รับเลือกในรอบแรกเท่านั้น สะท้อนถึงความผิดปกติที่เอื้อต่อการทุจริต แม้นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติจะมีอำนาจในการ “ชะลอหรือยกเลิกได้” ” แต่ก็ปล่อยให้การรับซื้อรอบแรกดังกล่าวเซ็นสัญญาไปเกือบหมด แม้จะมีการชะลอการรับซื้อในรอบเพิ่มเติมไว้จากแรงกดดันสังคมและสื่อมวลชน แต่ปัจจุบันผ่านมา 3 เดือนแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า
ด้านนายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า ขบวนการค่าไฟแพงในครั้งนี้ “ส่งผลให้ค่าไฟ แพงเกินกว่าที่ควรจะเป็น กระบวนการคัดเลือกมีปัญหา ส่อทุจริต และส่งผลให้เกิดการผูกขาดในภาคพลังงาน” ทั้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบ 2 ปี ตนและพรรคได้ทักท้วงการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบดังกล่าวมาตลอด แต่ผลที่ได้กลับมาเป็นการเมินเฉยจากรัฐบาล แม้จะมีการชะลอการรับซื้อในรอบเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์ แต่ในรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ กลับปล่อยให้มีการเซ็นสัญญามาเรื่อย ๆ จนเกือบครบทั้งหมดในวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา ทั้งที่รู้ว่าหากมีการเซ็นสัญญาแล้วจะยกเลิกสัญญาได้ยากขึ้นและเป็นภาระให้ประชาชนไปอีก 25 ปี
ขณะเดียวกัน นายศุภโชติ ยังตอบประเด็นที่รัฐบาลออกมาชี้แจงสามประเด็น ดังนี้
1. กระทรวงพลังงาน ชี้แจงว่า ไม่สามารถยกเลิกการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ เนื่องจากจะไม่ยุติธรรมกับเอกชนบางกลุ่ม
โดยพรรคประชาชน เห็นว่า รัฐบาลอ้างว่าจะไม่ยุติธรรมกับเอกชนหากยกเลิกสัญญา แต่ฝ่ายค้านมองว่าควรให้ความสำคัญกับประชาชนผู้ใช้ไฟ เพราะโครงการนี้มีปัญหาเรื่องความโปร่งใสและต้นทุนที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานที่ประกาศรับซื้อกับเอกชน รัฐมีอำนาจตามข้อ 39 ให้นายกรัฐมนตรีสามารถสั่งยกเลิกได้หากยังไม่มีการเซ็นสัญญา เหมือนที่เคยสั่งชะลอโครงการ 3,600 เมกะวัตต์มาแล้ว
2. กระทรวงพลังงาน ชี้แจงว่า ราคาที่ใช้ในการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ มีความเหมาะสมแล้ว
โดยพรรคประชาชน เห็นว่า ราคาดังกล่าว “แพงเกินจริง” แม้จะต่ำกว่าค่าไฟขายส่งเฉลี่ย แต่ไม่สะท้อนต้นทุนที่ลดลงตามเทคโนโลยีในปัจจุบัน รัฐยังใช้ระบบกำหนดราคากลางโดยไม่เปิดประมูล ทำให้ขาดการแข่งขันและอาจเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนที่ได้รับสัมปทาน
3. กระทรวงพลังงาน อ้างว่า ต้องซื้อไฟเพิ่มเพื่อสนับสนุนเป้าหมายลดคาร์บอน และตอบโจทย์อนาคตพลังงานสะอาดของประเทศ
โดยพรรคประชาชน เห็นว่า แม้การเพิ่มพลังงานสะอาดจะช่วยลดคาร์บอนได้จริง แต่พรรคประชาชนเสนอทางเลือกที่ไม่สร้างภาระให้ประชาชน เช่น “Direct PPA” ซึ่งเปิดให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขายตรงให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าโดยไม่ต้องบวกค่าไฟให้เป็นภาระประชาชน แต่กลับถูกจำกัดไว้เฉพาะบางกลุ่มธุรกิจ และยังไม่สามารถใช้งานได้จริง ทั้งที่ผู้ประกอบการรอคอยมากกว่า 10 เดือนแล้ว
ดังนั้น ขอเสนอแนวทางและเป้าหมายในการผลักดันประเด็นนี้ต่อ โดยยืนยันว่าจะเดินหน้าดำเนินการผ่านทุกช่องทางทางกฎหมายที่สามารถทำได้ เพื่อหยุดยั้งการรับซื้อไฟฟ้าทุกรอบที่ดำเนินการโดยไม่เป็นธรรม พร้อมทั้งขอให้ประชาชนร่วมติดตามการดำเนินการของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด ทั้งในส่วนของรอบแรกจำนวน 5,200 เมกะวัตต์ ที่มีการเซ็นสัญญาไปแล้วเกือบครบทุกโครงการ และรอบเพิ่มเติมอีก 3,600 เมกะวัตต์ ที่ถูกสั่งชะลอไว้ตั้งแต่เดือนธ.ค. ที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลจะมีแนวทางจัดการอย่างไร พร้อมเสนอให้ยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบโดยสิ้นเชิงและเพิ่มโควตา Direct PPA ที่ตอบโจทย์นักลงทุนและไม่เป็นภาระต่อประชาชน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 เม.ย. 68)
Tags: พรรคประชาชน, รัฐบาล, รับซื้อไฟฟ้า, วรภพ วิริยะโรจน์