รฟท.-สทร.จับมือพัฒนาขนส่งระบบราง เล็งพลิกโฉมรถไฟชั้น 3 เป็นปรับอากาศ เริ่มปี 69

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับนายจุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร.) เพื่อร่วมมือพัฒนา 3 ด้านหลัก

ได้แก่ การผลิตและพัฒนาบุคลากรให้มีขีดความสามารถสูง สอดคล้องกับทิศทางของอุตสาหกรรม การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าทางราง ลดพึ่งพา การนำเข้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งทางรางของประเทศ

ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายและยุทธศาตร์สำคัญในการพัฒนาระบบราง เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ โดยลงทุนหลายแสนล้านบาท พัฒนาระบบรถไฟทางคู่ ระยะทางกว่า 300 กม. โดยจะแล้วเสร็จปี 2568 ในขณะที่ต้องเร่งจัดหารถจักร ล้อเลื่อน เพื่อนำมาใช้ในการให้บริการเพื่อให้ระบบขนส่งครบวงจร

แต่เนื่องจากไทยยังต้องนำเข้ารถจักร และตู้โดยสารจากต่างประเทศ ทำให้มีต้นทุนสูง และมีปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุงในอนาคต จึงมีการจัดตั้ง สทร.ขึ้น เพื่อเป็นองค์กรหลักในการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพื่อนำองค์ความรู้มาส่งต่อกับทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนในประเทศ ซึ่งหลังจากนี้ สทร.จะลงนามความร่วมมือกับ กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชน เพื่อต่อยอดไปถึงการผลิตรถจักรต่อไป

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯ รฟท. กล่าวว่า รฟท. และ สทร. ได้ทำงานร่วมกันมาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีเป้าหมายร่วมกันพัฒนาและผลิตต้นแบบรถจักร รถโดยสาร และรถสินค้า รวมถึงชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อรองรับการขนส่งระบบรางอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของตู้รถไฟโดยสารชั้น 3 ปรับอากาศให้มีความสะดวกสบาย ทันสมัย รวมถึงพัฒนาต้นแบบตู้โดยสารเชิงท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางรถไฟไปพร้อมกัน

ซึ่งขณะนี้ รฟท.เตรียมปรับปรุงรถโดยสารชั้น 3 (พัดลม) จำนวน 40 คันในปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 295.60 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 7.45 ล้านบาทต่อคัน เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงเปลี่ยนเบาะที่นั่ง และติดระบบปรับอากาศ และปรับปรุงห้องน้ำเป็นระบบปิด และเปลี่ยนแหล่งจ่ายไฟฟ้า เป็นตู้ Power Car เพื่อป้อนเข้าตู้โดยสารปรับอากาศแทนพลังงานจากเครื่องยนต์ ผ่านกระบวนการวิจัยทดสอบแล้ว จะทำให้ขบวนรถมีน้ำหนักเบาลง และประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำร่างทีโออาร์ และราคากลาง ส่วนโมเดลต้นแบบที่ สทร.นำเสนอนั้นรฟท. ต้องดูว่าจะอยู่ภายใต้กรอบวงเงิน และราคากลางหรือไม่ด้วย

“เสนอฝ่ายการพัสดุแล้ว เพื่อดำเนินการตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐฯ ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (E-biding) คาดว่าจะเผยแพร่ประกาศเชิญชวน และเปิดประกวดราคาได้ประมาณเดือน มิ.ย.-ส.ค.68 ได้ผู้รับจ้าง และลงนามสัญญาจ้างกับผู้ชนะประมาณเดือน ธ.ค.68 เริ่มปรับปรุงต้นปี 69 ระยะเวลาปรับปรุงคันละประมาณ 3 เดือน ซึ่งคันแรก จะเสร็จและเริ่มทยอยนำออกให้บริการได้กลางปี 69 เนื่องจากจะต้องถอนรถออกจากบริการในเส้นทาง เพื่อนำมาเข้ากระบวนการปรับปรุง ซึ่งจะต้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการให้บริการประชาชน” นายวีริศ กล่าว

จากนั้น ในปี 69 จะปรับปรุงอีก 50 คัน (เดิมจะปรับปรุง 90 คัน) โดย รฟท.มีรถบริการเชิงสังคม หรือรถพัดลม ประมาณ 500 คัน อายุใช้งาน 30-60 ปี (อายุเฉลี่ย 37 ปี) ซึ่งการปรับปรุง จะเลือกรถที่ยังมีสภาพดี และอายุการใช้งานไม่มากนัก และเหมาะสมกับการใช้บนทางรถไฟใหม่ที่มีความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม.ด้วย ดังนั้นอาจจะมีบางส่วนที่ต้องปลดระวาง

นายวีริศ กล่าวว่า ปัจจุบันรถไฟมีผู้โดยสารประมาณ 32 ล้านคนต่อปี โดยเป็นผู้โดยสารรถชั้น 3 (พัดลม) สัดส่วน 60% ของผู้โดยสารทั้งหมด โดยให้บริการรถบริการเชิงสังคม ประมาณ 100 ขบวน/วัน ที่ผ่านมามีการเก็บค่าโดยสารต่ำกว่าต้นทุน และเสนอขออุดหนุนบริการเชิงสังคมจากรัฐบาล แต่ได้รับงบประมาณรายปีไม่เท่ากับที่เสนอ ทำให้เกิดปัญหาหนี้สินสะสม

ขณะที่รัฐมองว่า ผู้โดยสารใช้รถเชิงสังคมต่ำกว่าความสามารถในการรองรับ ส่วนรถไฟต้องวิ่งบริการทุกวัน ทำให้สูญเสียค่าใช้จ่ายมาตลอด จึงเห็นว่าเมื่อรถร้อนเปลี่ยนเป็นรถปรับอากาศทั้งหมด ประชาชนได้รับบริการเท่าเทียมกัน จะมีการปรับโครงสร้างค่าโดยสารใหม่ ตามแผนฟื้นฟูกิจการรถไฟ

“รฟท. จะเสนอแนวทางการบริการ จากเดิมที่กำหนดว่า รถร้อน เป็นรถบริการเชิงสังคม (PSO) ต่อไปไม่มีรถร้อนแล้ว ประชาชนทุกคนจะได้รับบริการรถปรับอากาศเท่าเทียมกัน ส่วนค่าโดยสารที่เพิ่มขึ้น จะมีบัตรสวัสดิการช่วยเหลือ ซึ่งจะขอขยายผู้ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ นักเรียน นักศึกษา ให้ครอบคลุมมากขึ้น ดังนั้นการปรับค่าโดยสาร จะไม่กระทบกับผู้มีรายได้น้อย” ผู้ว่าฯ รฟท. ระบุ

นายจุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ระบบราง กล่าวว่า ตามแนวคิด จะมีการพัฒนารถไฟปรับอากาศต้นแบบขึ้นมา โดยจะนำข้อมูลที่ได้จากการรับฟังความเห็นผู้ใช้บริการว่าต้องการรถโดยสารแบบใด และนำมาออกแบบ และต้องมีการทดสอบความปลอดภัยด้วย ซึ่งภายในปลายปีนี้ รถโดยสารปรับอากาศต้นแบบจะออกมา และจะขยายไปสู่การพัฒนาออกแบบและผลิตหัวจักร และขบวนรถไฟเอง ซึ่งจะมีภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ในระบบซัพพลายเชนทั้งหมดเข้ามาร่วมด้วย เนื่องจากเมื่อระบบรถไฟทางคู่เสร็จทั่วประเทศ จะต้องมีขบวนรถและหัวรถจักรเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการขนส่งทางรางที่เพิ่มขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 มี.ค. 68)

Tags: , , , , , , ,