สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (12 มี.ค.) หลังสหรัฐฯ เผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด และสต็อกเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรที่จะมีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก
- ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 1.43 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 67.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 1.39 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 70.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรล
สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 5.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.9 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล
ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง และเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน นอกจากนี้ นักลงทุนยังคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ชะลอตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนม.ค.ที่เพิ่มขึ้น 3.0% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.9%
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.1% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี ชะลอตัวลงจากเดือนม.ค.ที่เพิ่มขึ้น 3.3% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.2%
กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้คงตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวที่ค่อนข้างแข็งแกร่งของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปี 2568 โดยระบุว่าการเดินทางทางอากาศและทางบกจะเป็นปัจจัยหนุนการใช้น้ำมัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 มี.ค. 68)
Tags: WTI, น้ำมัน WTI, ราคาน้ำมัน