ไทยได้ VS เสีย เตรียมรับมืออย่างไร? ภายใต้ “Trade War 2.0”

สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาในหัวข้อ “Trade War 2025: จะรับมือกับ Trump อย่างไร?” เพื่อแชร์มุมมองนักเศรษฐศาสตร์ ต่อสงครามการค้าและแนวโน้มในอนาคต

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า Ultimate Goal ของสหรัฐฯ คือ Make America Number 1 again เป็นเรื่องปกติที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศเบอร์ 1 และ 2 ของโลกเสมอ และในครั้งนี้เบอร์ 1 อย่างสหรัฐฯ ต้องการจัดการเบอร์ 2 อย่างจีน

ขณะเดียวกัน การขัดแย้งในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นความขัดแย้งในทั้ง 5 มิติ ทั้ง Trade war, Tech war, Financial war, Sphere of Influence และ Military war ส่วนผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ต่อสหรัฐฯ คือ เงินเฟ้อ เศรษฐกิจขยายตัวช้าลง การจ้างงานค่อย ๆ ลดลง และความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ จะแย่ลง” นายกอบศักดิ์ กล่าว

*ตลาดทุน ยากจะประเมินทิศทาง

ในส่วนของผลกระทบต่อตลาดทุนในช่วง 1 เดือน คือทุกตลาดปั่นป่วนหมด ทั้งดาวน์โจนส์ Nasdaq และดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มขยับมาตั้งแต่เดือนส.ค. 67 หรือช่วงเลือกตั้ง และล่าสุด ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มติดลบ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า โดยเฉพาะในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ทรัมป์เอาจริงเรื่องนโยบายภาษีขึ้นเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ทรัมป์กำลังทำ ทำให้ตลาดถอดใจ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ยังพอไปได้คือทองคำ แต่ก็ยังคงมีความไม่แน่นอน

“ท่ามกลางความผันผวนต่าง ๆ ยากที่จะประเมินทิศทางตลาด ต้องทำใจว่าถ้าอยู่ในตลาดรอบนี้ ต้องสามารถรับแรงผันผวนได้ ตอนนี้มรสุมเข้า ต้องเข้าใจว่าการลงทุนวันนี้ ไม่เหมือนก่อนเมื่อวันที่ 20 ม.ค. การลงทุนของเร อาจไม่ใช่เพราะผลตอบแทนของหุ้นที่เราซื้อ แต่อาจมาจากลมปากของบางคนที่เป่าซ้าย เป่าขวา และวันรุ่งขึ้น เราก็จะเสียหาย” นายกอบศักดิ์ กล่าว

ค่าเงินผันผวน จากแรงกระเพื่อม Trade War

นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงผลกระทบของ Trade War ต่อตลาดเงินตลาดทุนว่า สถานการณ์ตลาดเงินตลาดทุนในช่วงนี้ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน โดยเฉพาะทั้ง 3 ประเทศที่โดนสหรัฐฯ ขึ้นภาษีทั้งจีน เม็กซิโก และแคนาดา อัตราแลกเปลี่ยนค่อนไปทางอ่อนค่า ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น และคนไม่มั่นใจเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำดอลลาร์อ่อนค่า เช่นเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ลงทุกตลาด

นายดอน มองว่า ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกควรเตรียมตัวรับมือกับ Trade War ด้วยการสร้างความเข้มแข็งจากภายในประเทศ อย่าพึ่งพาการค้าต่างประเทศมากเกินไป, ดูแลเสถียรภาพด้านต่างประเทศ, ใช้ประโยชน์จากการค้าและข้อตกลงการค้าภูมิภาค, เจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยง, เกาะติด Supply Chains และอาศัยกลไกขององค์การการค้าโลก (WTO)

“อัตราแลกเปลี่ยนในขณะนี้ เป็นอะไรที่เดาได้ยากมาก เพราะนโยบายยังไม่แน่นอน ค่าเงินไม่แน่นอน ดังนั้น ต้องบริหารความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน” นายดอน กล่าว

กลุ่มได้ประโยชน์/เสียประโยชน์

นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และอดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ ระบุว่า สำหรับกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายทรัมป์ คือนักธุรกิจที่ไปลงทุนในสหรัฐฯ ส่วนกลุ่มที่เสียประโยชน์ คือ อาเซียน เพราะทรัมป์ไม่รู้จักอาเซียน รู้จักแต่กลุ่ม BRICS, เศรษฐกิจไทย ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะเสียประโยชน์ และกลุ่มที่เคยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลพรรคเดโมแครต

พลิกวิกฤตสงครามการค้า สู่โอกาสดึงฐานการผลิตใหม่เข้าไทย

น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยภายใต้ Trade War ว่า ประเทศไทยยังมีโอกาสจากสงครามทางการค้า คือ สหรัฐฯ มีโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) เพราะมีเรื่อง Trade war ดังนั้นดอกเบี้ยโลกจะลดลง ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยก็อาจลดดอกเบี้ยได้อีก 1-2 ครั้งในปีนี้

นอกจากนี้ ในระยะสั้น ราคาพลังงานก็จะถูกลง ราคาน้ำมันถูกลง เพราะดีมานด์ในโลกจะลดลง ขณะที่ซัพพลายน่าจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ไทยยังมีโอกาสเรื่องการลงทุน เพราะความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิต ซึ่งไทยสามารถดึงดูดการลงทุนได้จากหลายฝ่ายทั้งสหรัฐฯ จีน และยุโรป โดยอุตสาหกรรมอันดับ 1 ที่กำลังมาในไทย คืออิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

มองผลกระทบต่อไทยมีทั้ง 2 มุม ได้-เสีย

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า Trade War 1.0 โฟกัสที่จีน และสหรัฐฯ แต่ Tread War 2.0 โฟกัสที่สหรัฐฯ กับหลายประเทศ สำหรับประเทศไทย มีความกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจาก Trade War 2.0 เนื่องจากไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 45,608 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกินดุลในอันดับที่ 11 อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อนโยบายทรัมป์ 2.0 ต่อไทยนั้น มองว่ามีทั้งได้และเสีย ดังนี้

1. มาตรการการค้า: ภาษีศุลกากรตอบโต้ทุกประเทศ ซึ่งไทยอาจถูกตอบโต้จากมาตรการภาษี ต้นทุนภาษีส่งออกเพิ่ม และสินค้าจีนไหลกลับมาไทยและคู่ค้า

2. การลงทุน: Reshoring ลดภาษีนิติบุคคล 15% ลดราคาพลังงาน ซึ่งไทยอาจมีโอกาสในการลงทุนในสหรัฐฯ FDI ไทยเพิ่มขึ้นในปี 67 ในทางกลับกัน FDI ชะลอการลงทุนเพื่อรอนโยบายจากสหรัฐฯ เช่น Data center

3. เทคโนโลยี: จำกัดการใช้เทคโนโลยีและการส่งออกเทคโนโลยีให้จีน ซึ่งไทยมีโอกาสเข้าไปในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีที่เข้าลงทุนในไทย ขณะเดียวกัน ยังเพิ่มทางเลือกด้านเทคโนโลยี แต่ทั้งนี้ ไทยอาจเข้าถึงเทคโนโลยีสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น

4. การต่างประเทศ: เน้นข้อตกลงแบบทวิภาคี โดยมีผลประโยชน์สหรัฐฯ เป็นที่ตั้ง โดยไทยมีโอกาสในการเจรจาเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่าง 2 ประเทศ อย่างไรก็ดี ไทยอาจถูกบังคับให้ยอมรับเงื่อนไขที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อไทย

ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ และการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการ ดังนี้

1. ในระยะสั้น การบูรณาการข้อมูลทางการค้า เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในการเจรจา, จัดตั้ง War Room รับมือนโยบายการค้าสหรัฐฯ และขยายโอกาส รวมทั้งแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญเป็นทีมเจรจา, เข้มงวดในการบังคับใช้กฏหมาย เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากสินค้าที่เข้ามาทุ่มตลาด และสนับสนุนการซื้อสินค้า Made in Thailand

2. ในระยะยาว ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็ง เช่น อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ เชื่อมโยง Global Supply Chain, พัฒนาสินค้าและบริการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม, ปฏิรูการศึกษา พัฒนากำลังคน รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต, ปรับปรุงกฏหมาย กฏระเบียบ และปฏิรูประบบราชการด้วยระบบ Digital และส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 มี.ค. 68)

Tags: , , , , , , , , ,