BGRIM ปี 68-ต้นปี 69 เดินหน้า COD โรงไฟฟ้าโซลาร์-ลม 605 MW พร้อมแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 5 ลำ

นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ [BGRIM] เปิดเผยว่า แผนดำเนินงานในปี 2568 บี.กริม เพาเวอร์ คาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับ SPP อยู่ที่ 320-350 บาทต่อล้าน BTU ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกับปี 2567 ที่ราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 324 บาทต่อล้าน BTU โดยวางแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 5 ลำ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas พร้อมตั้งเป้าเพิ่มลูกค้า IUs รายใหม่ เชื่อมเข้าระบบรวม 40-50 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้ยังมีโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

และจะ COD ในช่วงปีนี้ ถึงต้นปีหน้า กำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 605 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม KOPOS 20 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภา 18 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “อินทรี บี.กริม” ในประเทศไทย 80 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “จงเช่อ รับเบอร์” ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้-าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “386” ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และราชอาณาจักรบาห์เรน 27.5 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง “Nakwol” ในสาธารณรัฐเกาหลี 365 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ARECO” ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ 65 เมกะวัตต์

นายฮาราล์ ลิงค์ กล่าวว่า ผลประกอบการปี 2567 เติบโตต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 2,227 ล้านบาท เติบโต 5.8% และ EBITDA ที่ 14,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งเป็นกำไรที่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง และรายการที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ จะอยู่ที่ 1,557 ล้านบาท

การเติบโต ดังกล่าว มาจากปัจจัยหลัก ได้แก่ ปริมาณขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มขึ้น 10.8% จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้า SPP 3 โครงการ ในเดือนมีนาคม, ตุลาคม และธันวาคม 2566 รวมกำลังผลิต 420 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากราคาเฉลี่ยก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 14.2% และปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ในประเทศเวียดนามเติบโตขึ้น 6.4% เทียบจากปีก่อน รวมถึงรายได้การให้บริการที่สูงขึ้นจากการพัฒนาโครงการ และปริมาณขายไอน้ำในประเทศไทยที่เติบโตขึ้น 19.1% เทียบจากปี 2566 ตามการขยายกำลังการผลิตของลูกค้าเดิม และความต้องการที่เพิ่มขึ้น

ตลอดปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ มีความมุ่งมั่นในการขยายพอร์ตด้านพลังงานหมุนเวียน ด้วยการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งไทยและต่างประเทศ โดยได้ขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนรวม 1,345 เมกะวัตต์ (Committed) ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง จำนวน 740 เมกะวัตต์ในสาธารณรัฐเกาหลี, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา 33.7 เมกะวัตต์ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และราชอาณาจักรบาห์เรน, โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 29.9 เมกะวัตต์ในประเทศสหรัฐอเมริกา, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 65 เมกะวัตต์ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน กำลังผลิตติดตั้งรวม 476.3 เมกะวัตต์ในประเทศไทย (รวมโครงการที่ได้รับการคัดเลือกภายใต้โครงการพลังงานหมุนเวียนของรัฐบาล)

นอกจากนี้ ได้เข้าลงทุนใน Nemaroo Bimbi Wind Farm Pty. Ltd. ในประเทศออสเตรเลีย และ LT09 S.r.I. ในสาธารณรัฐอิตาลี เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน รวมถึงได้ร่วมมือกับกรีนเนอร์ยี่ และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น เพื่อพัฒนาพลังงานหมุนเวียนด้วยเช่นกัน

นายฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 4/2567 บี.กริม เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จในหลากหลายด้าน อาทิ การได้รับคัดเลือกเป็นผู้ผลิตและขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับรัฐบาลตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ขนาดโครงการรวม 60.90 เมกะวัตต์ โดยกำหนดเปิด COD ช่วงปี 2571-2573 นอกจากนี้ บริษัท บี.กริม โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟท็อป จำกัด (บริษัทย่อย) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ยังได้ลงนามในสัญญาจ้างงานตามโครงการจัดการพลังงานไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ กำลังติดตั้ง 10.26 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 25 ปี มีกำหนดเปิด COD ช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2569 ขณะเดียวกัน บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี ยังได้นำเข้า LNG จำนวน 2 ลำ ในเดือนตุลาคม และธันวาคม โดยปี 2567 นำเข้าทั้งสิ้น 3 ลำ รวมจำนวนประมาณ 198,000 ตัน เข้าสู่ระบบ Pool Gas เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมของ บี.กริม เพาเวอร์ ต่อไป

จากความสำเร็จทั้งหมดในรอบปีที่ผ่านมา และความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มผลประกอบการ ตอกย้ำความเชื่อมั่นในการบริหารสภาพคล่องและความมุ่งมั่นในนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ยั่งยืน ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ในการสร้างมูลค่าสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท จึงมีมติอนุมัติปรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลเป็นอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน และเสนอจ่ายเงินปันผลต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีในเดือนเมษายน 2568 ในอัตราหุ้นละ 0.43 บาท สำหรับปี 2567 ประกอบด้วยเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท และเงินปันผลจ่ายงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 มี.ค. 68)

Tags: , , ,