นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Pioneering Progress: Thailand’s Financial Hub Blueprint” ในงานแนะนำโครงการศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) ให้แก่บริษัทด้านการเงินชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ทั้งสถาบันการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกันภัย รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจ Digital Asset รวมทั้งสิ้นกว่า 100 บริษัทว่า การผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Financial Hub นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การยกร่างกฎหมาย แต่เป็นความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก
หลายหน่วยงานได้ร่วมกันศึกษาและออกแบบ Financial Hub จากการนำแนวปฏิบัติที่ดีในระดับสากลมาผสมผสานกับความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทย โดยคำนึงถึงการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่มีความโปร่งใส การกำกับดูแลที่มีมาตรฐานและเอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม รวมทั้งการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดมั่นใน 4 หลักการสำคัญ คือ
1.สิทธิประโยชน์ที่โปร่งใสและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก โดยกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ชัดเจน พัฒนากระบวนการจดทะเบียนประกอบธุรกิจให้มีความสะดวกรวดเร็ว อำนวยความสะดวกให้การเข้าเมืองของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ เพื่อลดภาระด้านเอกสารและการติดต่อกับภาครัฐ
2.มาตรฐานการกำกับดูแลที่ทันสมัยและคล่องตัว ผ่านการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (OSA) เพื่อให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ
3.การพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจ โดยกำหนดให้มีการร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและสถาบันการศึกษาชั้นนำในการยกระดับทักษะของแรงงานในประเทศ
4.แนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมการเข้าถึงตลาดในประเทศ (Market Participant) โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถให้บริการแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เพื่อพัฒนาบริบทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้าถึงตลาดในประเทศได้ในบางกรณี
ขณะที่ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการเงินกับโลกอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นโครงการดังกล่าวจะช่วยให้ประเทศไทยเป็นประตูสู่การลงทุนระหว่างภูมิภาคและก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนระหว่างประเทศในอนาคต ทั้งนี้ ไม่เพียงเพราะประเทศไทยมีต้นทุนในการประกอบธุรกิจที่แข่งขันได้ แต่ยังเป็นเพราะประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม โดยเฉพาะในด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) และสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) ที่ประเทศอื่น ๆ ยากที่จะแข่งขันได้
ปัจจุบันร่างกฎหมาย Financial Hub อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับระบบการเงินของไทย และเป็นโอกาสในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างพันธมิตรในระดับสากลและผู้มีส่วนร่วมในประเทศ เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยโอกาสและประโยชน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่าย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.พ. 68)
Tags: Fin Hub, Financial Hub, ธุรกิจ, เผ่าภูมิ โรจนสกุล