ดาวโจนส์ปิดบวก 167.01 จุด รับแรงซื้อหุ้นเทคโนฯ,หุ้นบริษัทเหล็ก

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (10 ก.พ.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวกเช่นกัน โดยตลาดได้แรงหนุนการการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ส่วนหุ้นกลุ่มบริษัทผลิตเหล็กดีดตัวขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าเขาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,470.41 จุด เพิ่มขึ้น 167.01 จุด หรือ +0.38%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,066.44 จุด เพิ่มขึ้น 40.45 จุด หรือ +0.67% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,714.27 จุด เพิ่มขึ้น 190.87 จุด หรือ +0.98%

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.15% ตามด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.45% ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลงมากที่สุด โดยลดลง 0.79%

ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เขาจะประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% จากทุกประเทศ ซึ่งเพิ่มเติมจากอัตราภาษีที่เก็บอยู่เดิม เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ

หุ้นกลุ่มบริษัทผลิตเหล็กและอะลูมิเนียมพุ่งขึ้นแข็งแกร่ง ขานรับมุมมองบวกที่ว่าหุ้นกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์จากมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม โดยหุ้นนูคอร์ (Nucor), หุ้นยูเอส สตีล (U.S. Steel) และหุ้นสตีล ไดนามิกส์ (Steel Dynamics) ต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 4% ส่วนหุ้นคลีฟแลนด์-คลิฟส์ (Cleveland-Cliffs) ทะยานขึ้น 18%, หุ้นเซนจูรี อะลูมิเนียม (Century Aluminum) พุ่งขึ้น 10% และหุ้นอัลโค (Alcoa) ดีดตัวขึ้น 2%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีฟื้นตัว หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ (7 ก.พ.) อันเนื่องมาจากการที่ปธน.ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ทั้งนี้ หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) และหุ้นบรอดคอม (Broadcom) พุ่งขึ้น 2.9% และ 4.5% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นอะเมซอน (Amazon) ปรับตัวขึ้น 1.7%

แซม สโตวอลล์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนจากบริษัท CFRA Research แสดงความเห็นว่า นักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้นที่เคยทำผลงานแข็งแกร่ง โดยหนึ่งในเหตุผลคือการที่นักลงทุนมีมุมมองบวกเกี่ยวกับผลประกอบการ

ข้อมูลจากแอลเอสอีจี (LSEG) ระบุว่า คาดว่าบริษัทในดัชนี S&P500 จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 14.8% ในไตรมาส 4/2567 เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 10% โดยขณะนี้บริษัทในดัชนี S&P500 รายงานผลประกอบการไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง

หุ้นแมคโดนัลด์ (McDonald’s) พุ่งขึ้น 4.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายในไตรมาส 4/2567 แม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรียอีโคไล ซึ่งทำให้มีผู้ที่เสียชีวิตและล้มป่วยในสหรัฐฯ

หุ้นเทสลา (Tesla) ร่วงลง 3% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า กลุ่มนักลงทุนซึ่งนำโดยอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา เสนอเงินมูลค่า 9.74 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้อองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ควบคุมดูแลโอเพนเอไอ (OpenAI) ซึ่งเป็นสตาร์ตอัปด้าน AI

นักลงทุนจับตาเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ พาวเวลจะแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันที่ 11 ก.พ. ก่อนที่จะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 12 ก.พ. โดยการกล่าวแถลงการณ์ทั้ง 2 วันจะมีขึ้นในเวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 22.00 น.ตามเวลาไทย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.พ. 68)

Tags: , , ,