หลังจากทำผลงานได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ ส่วนใหญ่ในปี 2567 บิตคอยน์กำลังเผชิญแรงกดดันในขณะนี้ เนื่องจากการกลับสู่ทำเนียบขาวของโดนัลด์ ทรัมป์ และความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนแห่กันเข้าลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่นทองคำ
ข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า บิตคอยน์เพิ่มขึ้นเพียง 3% กว่านับตั้งแต่ต้นปีนี้ ขณะที่ราคาทองคำพุ่งขึ้น 9% โดยทองคำทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,882 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากทรัมป์กล่าวเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ว่า สหรัฐฯ อาจเข้ายึดฉนวนกาซา
ในปัจจุบันบิตคอยน์ซื้อขายต่ำกว่าระดับสูงสุดอยู่ประมาณ 10%
แม้ว่าบิตคอยน์มักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์เก็บมูลค่าเหมือนทองคำ เนื่องจากมีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ แต่ก็ไม่สามารถแข่งขันกับทองคำซึ่งยังคงได้รับความนิยมในช่วงเศรษฐกิจผันผวน โดยเฉพาะจากปัจจัยอย่างสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และผลกระทบจากภาษีศุลกากร ในทางตรงกันข้าม บิตคอยน์มักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับหุ้นเทคโนโลยี
ออยฟินน์ เดวิตต์ ที่ปรึกษาการลงทุนอาวุโสของโมเนตา กรุ๊ป (Moneta Group) กล่าวกับบลูมเบิร์กทีวีว่า แม้ว่าบิตคอยน์อาจถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินสกุลหลัก (fiat currency) แต่ความน่าสนใจของบิตคอยน์ลดลงในตลาดที่ยังมีความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐสูง โดยในอนาคต บิตคอยน์อาจมีลักษณะเฉพาะตัวที่แยกออกจากตลาดทั่วไป แต่ตอนนี้บิตคอยน์ยังคงเหมือนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยง”
อย่างไรก็ตาม ผู้สนับสนุนบิตคอยน์เชื่อว่าคุณสมบัติที่มีอยู่จะทำให้บิตคอยน์กลายเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็บมูลค่าได้ในอนาคต
พอล โฮเวิร์ด ผู้อำนวยการอาวุโสของบริษัทวินเซนต์ (Wincent) กล่าวว่า การเปิดตัวกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETFs) ที่ลงทุนโดยตรงในบิตคอยน์จะช่วยลดความผันผวนของบิตคอยน์ลงได้ในระยะยาว และอาจทำให้นักลงทุนที่มองหาความผันผวนสูงย้ายไปลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่มีความเสี่ยงมากกว่า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.พ. 68)
Tags: bitcoin, Cryptocurrency, คริปโทเคอร์เรนซี, บิตคอยน์