ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยผลสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 43 ในเดือน ม.ค.68 ภายใต้หัวข้อ “ความเห็นต่อนโยบายการปฏิรูปภาษีไทย” จากผู้บริหาร ส.อ.ท.จำนวน 125 คน ครอบคลุมผู้บริหาร 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่าผู้บริหาร ส.อ.ท.ส่วนใหญ่ เห็นด้วย หากภาครัฐดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าก่อน เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ และเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม จากสงครามการค้าที่คาดว่าจะมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ส่วนใหญ่ ไม่เห็นด้วยที่จะมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในช่วงเวลานี้
ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน เป็นปัจจัยหลักที่ควรต้องนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินนโยบายปฏิรูปภาษี โดยเฉพาะการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete Aged Society) และกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ที่ทำให้สินค้าส่งออกไทยตามเทรนด์เทคโนโลยีโลกไม่ทัน ส่งผลทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนไปจากเดิม การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว
ขณะเดียวกันแนวทางการปฏิรูปภาษีควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีแผนและกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน ให้ภาคธุรกิจปรับตัว ตลอดจนออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีแก่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า การปรับภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม Global Minimum Tax ในอัตรา 15% ที่มีผลไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 อาจทำให้ภาครัฐไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนได้ดังเดิม ดังนั้น ภาครัฐต้องคำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศด้วย เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ โลจิสติกส์ ฯลฯ
พร้อมทั้งเตรียมปรับปรุงกฎระเบียบ และเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องเหมาะสม และมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม (Rule of law กฎหมายสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์) ตลอดจนพัฒนาคุณภาพการศึกษา และส่งเสริมแรงงานทักษะสูงรองรับเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ๆ ที่มีมูลค่าสูง
ผลสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 43 ทั้ง 6 คำถาม ดังนี้
1) ปัจจัยใดที่ควรนำมาประกอบการพิจารณาในการดำเนินนโยบายการปฏิรูปภาษีไทย
อันดับ 1 : โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม | 67.2% |
อันดับ 2 : ความสามารถในการแข่งขันในด้านภาษีกับประเทศคู่แข่ง | 66.4% |
อันดับ 3 : เสถียรภาพทางการคลังและประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี | 39.2% |
อันดับ 4 : แนวทางการปฏิบัติตามกฎกติกาสากล เช่น OECD | 13.6% |
2) ภาครัฐควรดำเนินนโยบายการปฏิรูปภาษีไทยอย่างไร
อันดับ 1 : ปรับโครงสร้างภาษีอย่างค่อยเป็นค่อยไปควบคู่กับมาตรการบรรเทาผลกระทบ | 62.4% |
อันดับ 2 : ขยายฐานภาษีและส่งเสริมให้เศรษฐกิจเข้ามาอยู่ในระบบ | 52.0% |
อันดับ 3 : การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านภาษี | 44.0% |
อันดับ 4 : ยึดหลักการลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และการเก็บภาษีบนฐานทรัพย์สิน | 25.6% |
3) การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม Global Minimum Tax ที่อัตรา 15% จะส่งผลดีอย่างไร
อันดับ 1 : ลดต้นทุนทางภาษีให้กับบริษัท เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน | 59.2% |
อันดับ 2 : ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และลดแรงจูงใจที่นักลงทุนจะย้ายฐานไปประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า | 44.8% |
อันดับ 3 : ส่งเสริมความเท่าเทียมในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้มาตรฐานภาษีที่เท่าเทียม | 43.2% |
อันดับ 4 : ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนซ้ำภายในประเทศและมีมาตรการส่งเสริมที่ไม่ใช่ภาษีเพิ่มมากขึ้น | 27.2% |
4) ภาคอุตสาหกรรมกังวลต่อการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม Global Minimum Tax ที่อัตรา 15% ในเรื่องใด
อันดับ 1 : ความสามารถในการแข่งขันด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศด้านอื่นๆ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ โลจิสติกส์ ฯลฯ | 64.0% |
อันดับ 2 : การปรับสิทธิประโยชน์จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI | 44.0% |
อันดับ 3 : การปรับตัวของผู้ประกอบการจากการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลตาม GMT | 36.0% |
อันดับ 4 : แผนการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ (FDI) อาจหยุดชะงัก | 16.8% |
5) ภาคอุตสาหกรรมมีความเห็นต่อนโยบายการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างไร
อันดับ 1 : ไม่เห็นด้วย | 62.4% |
อันดับ 2 : เห็นด้วย | 37.6% |
6) ภาครัฐควรเร่งพิจารณาปรับปรุงภาษีประเภทใด
อันดับ 1 : ภาษีนำเข้า | 48.8% |
อันดับ 2 : ภาษีนิติบุคคล | 44.8% |
อันดับ 3 : ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง | 38.4% |
อันดับ 4 : ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) | 32.8% |
![](https://www.klongdan.com/wp-content/uploads/2025/02/A7E498873F8FB2EB70DF2F325D2EB0D4-683x1024-1.png)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ก.พ. 68)
Tags: VAT, ปีกทอง ทองใหญ่, ภาษีนำเข้า, ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ส.อ.ท., สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย