นักวิเคราะห์จากธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) คาดการณ์ว่า นักลงทุนจะเทขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดเอเชีย อันเนื่องมาจากความเสี่ยงเกี่ยวกับการค้า มูลค่าหุ้นที่สูงเกินไป และการที่หุ้นกลุ่มดังกล่าวแทบไม่มีโอกาสที่จะเติบโตในด้านกำไร
ทีมนักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ คาดการณ์ว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดเอเชียมีแนวโน้มร่วงลงประมาณ 20% ในระยะเวลาอันใกล้นี้ หากมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าชิปคอมพิวเตอร์ และความตึงเครียดด้านการค้ากลับมาทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า ผลการสำรวจในปัจจุบันบ่งชี้ว่า การคาดการณ์เกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีอยู่ในระดับที่สูงเกินไป
มอร์แกน สแตนลีย์ ระบุว่า การที่นักลงทุนทั่วโลกให้การตอบรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้น ได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดเอเชียพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ในเอเชียพุ่งขึ้นกว่า 65% นับตั้งแต่สิ้นปี 2565 แต่กระแสการตอบรับดังกล่าวก็ทำให้มูลค่าหุ้นในกลุ่มนี้สูงขึ้นด้วย
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณว่าเขาอาจจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าชิปคอมพิวเตอร์และเซมิคอนดักเตอร์ที่ผลิตจากต่างประเทศ ขณะที่นักวิเคราะห์ระบุว่า ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นในปี 2561 เคยเป็นปัจจัยฉุดกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ ยังมองเห็นโอกาสที่สดใสในตลาดหุ้น
“เรามีมุมมองบวกเกี่ยวกับหุ้นอินเทอร์เน็ตและหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ในตลาดหุ้นจีนมากกว่าหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ในตลาดหุ้นทั่วโลก” นักวิเคราะห์กล่าว พร้อมเสริมว่า บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของจีนซึ่งรวมถึง Naura Technology Group , Semiconductor Manufacturing International Corp. และ Hua Hong Semiconductor อาจได้ประโยชน์จากสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าเนื่องจากมียอดขายภายในประเทศที่สูงขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ก.พ. 68)
Tags: ภาษีการค้า, มอร์แกนสแตนลีย์