เงินบาทเปิด 33.99 แนวโน้มแข็งค่ารับดอลลาร์อ่อน หลัง “ทรัมป์” เรียกร้องทั่วโลกลดดอกเบี้ย

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงิน บาทเปิดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 33.99 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากระดับปิดวันก่อน

โดยตั้งแต่คืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways และมีจังหวะแข็งค่าเข้าใกล้โซน 33.90 บาท/ ดอลลาร์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้บรรดาธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในการกล่าวสุนทรพจน์ในงาน World Economic Forum ประกอบ กับยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน ออกมาแย่กว่าคาด

วันนี้ตลาดจับตาผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่า BOJ มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนม. ค.นี้ 25bps สู่ระดับ 0.50% รวมทั้งรอลุ้นรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (PMI) ในเดือนม.ค.ของ บรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้งญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้น หรืออย่างน้อยอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideway โดยเงินบาทเสี่ยงผันผวนสูงขึ้น ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ

“การเคลื่อนไหวผันผวนของเงินเยนญี่ปุ่น ก็จะส่งผลกระทบต่อทิศทางของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) ซึ่งจะส่งผลต่อเงินบาทได้เช่นกัน” นายพูนระบุ

นายพูน คาดกรอบเงินบาทวันนี้ จะอยู่ที่ระดับ 33.80-34.15 บาท/ดอลลาร์

ปัจจัยสำคัญ

  • เงินเยนเช้านี้ อยู่ที่ระดับ 156.16 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานที่ระดับ 156.46/48 เยน/ดอลลาร์

  • เงินยูโรเช้านี้ อยู่ที่ระดับ 1.0419 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานที่ระดับ 1.0407/0409 ดอลลาร์/ยูโร

  • อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท. อยู่ที่ระดับ 33.945 บาท/ดอลลาร์

  • นายกฯ ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนาม FTA ไทย-เอฟตา ถือเป็นความสำเร็จรัฐบาลแพทองธาร “พิชัย” ชี้ FTA ฉบับนี้จะ นำสู่การเจรจา FTA กับอียู และมีหลายประเทศหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ยืนยันจากนี้ไปจะเป็นยุคทองของไทยด้านการค้าการลง ทุน ด้านกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ปี 2567 ไทยกับเอฟตามีมูลค่าการค้ารวม 11,788.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.94 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก

  • รมว.พาณิชย์เข้าร่วมงานเสวนาหัวข้อ Leaving Asia’s Comfort Zone ภายในงาน WEF 2025 ที่ดาวอส แสดงมุม มองการปรับตัวของไทยจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI และยังใช้โอกาสนี้แสดงความพร้อมที่จะเป็นหมุดหมายดึงดูดการลงทุนใน เทคโนโลยี AI, Data Center และอุตสาหกรรม PCB และจะร่วมมืออย่างเต็มที่กับทุกภาคส่วนและนานาประเทศ เพื่อก้าวเข้าสู่ยุค เศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยีอัจฉริยะไปพร้อมกัน

  • พาณิชย์ปลื้มส่งออกปี 67 โต 5.4% โกยรายได้ทะลัก 10.5 ล้านล้านบาท คาด ม.ค.ยังโตต่อ ตั้งเป้าทั้งปี 68 บวก 2- 3% ได้แรงหนุนเศรษฐกิจโลก เงินเฟ้อ ดอกเบี้ยลด มีการย้ายฐานลงทุนมาไทย จับตาทรัมป์ 2.0 ภูมิรัฐศาสตร์ อัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัว ป่วน ด้าน “พิชัย” เตรียมบินสหรัฐ ก.พ.นี้ หาทางแก้ปัญหาการค้ากับสหรัฐ

  • ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษาสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและนโยบายทรัม ป์ 2.0 มีผลต่อเศรษฐกิจไทยและโลก มองว่าเศรษฐกิจจีนยังอยู่ในช่วงเน้นทำให้เศรษฐกิจมีความมั่นคง รักษาระดับการเติบโต และเตรียม ปรับโครงสร้างระยะยาว โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีผลต่อจีดีพี 15-30% ขณะที่รัฐบาลจะหันไปสนับสนุนเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น พลังงานสะอาด ซึ่งมีสัดส่วนการเติบโตกว่า 8% ของจีดีพี ส่วนด้านนโยบาย ทรัมป์ 2.0 ที่มุ่งเป้าไปที่ประเทศจีนและดึงฐานการ ผลิตกลับสหรัฐ อาจเป็นการขึ้นกำแพงภาษีกับทุกประเทศ เพื่อดึงโรงงานจากจีนและประเทศอื่นๆ กลับไปยังสหรัฐ

  • รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าสถานการณ์นักท่องเที่ยว จีนที่เดินทางมาไทยในช่วงตรุษจีนยังไม่น่าเป็นห่วง แม้มีเรื่องของความเชื่อมั่นและความปลอดภัย หลังนักแสดงจีนถูกหลอกไปทำงานใน ประเทศเพื่อนบ้านโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน เกิดการเผยแพร่ข่าวในกลุ่มของคนจีน เพราะจากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนในช่วงนี้ยังเดิน ทางมาอย่างต่อเนื่องและการเดินทางเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20,000 ต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากกว่าช่วงก่อนหน้านี้ที่มีเฉลี่ยวันละ 16,000- 17,000 คน

  • กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 6,000 ราย สู่ระดับ 223,000 รายใน สัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 219,000 ราย

  • ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ผ่านระบบวิดีโอลิงค์ในการประชุม WEF ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวัน พฤหัสบดี ปธน.ทรัมป์ได้เรียกร้องให้ธนาคารกลางทั่วโลกปรับลดอัตราดอกเบี้ย และเรียกร้องให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ปรับ ลดราคาน้ำมัน ขณะเดียวกันเขาเตือนว่าผู้นำภาคธุรกิจทั่วโลกจะเผชิญกับการถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าที่ผลิตนอกเขตแดนสหรัฐฯ

  • FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนยังคงให้น้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่า เฟดจะคงอัตรา ดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 28-29 ม.ค.

  • ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (23 ม. ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ใช้คำพูดในเชิงกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ใน ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม World Economic Forum (WEF) ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์หน้า

  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันพฤหัสบดี (23 ม.ค.) หลังจากนักลงทุนประเมินการแสดงความเห็นของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่ต้องการให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง

  • โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า จีนมีความพร้อมที่จะเจรจากับสหรัฐเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางด้านเศรษฐกิจและการ ค้า ปธน.ทรัมป์ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% ต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ม.ค. 68)

Tags: , ,