น.ส.นลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ซิตี้แบงก์ คาดว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยปี 2568 จะเติบโตได้ 3.2% เพิ่มจาก 2.7% ในปี 2567 โดยการบริโภคภาคเอกชน แม้จะเติบโตในอัตราชะลอลงจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และยอดขายรถยนต์ที่ซบเซา แต่ยังคงได้รับแรงหนุนจากการจ้างงานที่แข็งแกร่ง การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น จากการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เช่น การลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้า, ดาต้าเซนเตอร์ และการแปรรูปอาหาร ซึ่งประเทศไทยยังคงได้รับอานิสงส์จากจุดแข็งทางภูมิศาสตร์ และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ภาครัฐต้องมีการพัฒนาปัจจัยด้านอื่น ๆ เพื่อรักษาศักยภาพในการแข่งขัน เช่น ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ การเพิ่มกำลังการผลิต และพัฒนาทักษะแรงงานในประเทศ
ด้านภาคการท่องเที่ยวยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ซิตี้แบงก์ ได้ปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2568 ลงมาอยู่ที่ 39.8 ล้านคน หลังการท่องเที่ยวปีก่อนหน้า ฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยว อาจเพิ่มเป็น 1,298 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 44,000 บาท) ทำให้คาดว่ารายได้การท่องเที่ยวไทยปีนี้จะอยู่ที่ราว 9.3% ของ GDP
ส่วนภาคการส่งออก คาดว่าจะเติบโตลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3% จากสถานการณ์การค้าโลกชะลอตัว และความไม่แน่นอนในการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ คาดว่ารัฐบาลจะยังมีแผนกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ โดยซิตี้แบงก์ คาดว่าการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 2568 จะเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณค้างจ่ายในปีงบประมาณ 2567 ขณะที่งบขาดดุลในปีงบประมาณ 2568 วางไว้ที่ -4.5% ของ GDP ซึ่งกว้างขึ้นเล็กน้อย เพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 โครงการ Easy E-Receipt 2.0 และ โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศช่วงครึ่งปีแรก
สำหรับบัญชีเดินสะพัดปี 2568 ซิตี้แบงก์ คาดการณ์ไว้ที่ 2.7% ของ GDP เพิ่มจาก 2.1% ของ GDP ในปี 2567 จากต้นทุนการนำเข้าน้ำมันลดลง และการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล จะช่วยสนับสนุนค่าเงินบาทได้ในระดับหนึ่ง แม้จะต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ท่ามกลางความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนสถานการณ์เงินเฟ้อ มีการปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2568 มาอยู่ที่ 1.2% ส่วนหนึ่งมาจากอัตราเงินเฟ้อปี 2567 ต่ำกว่าที่คาด รวมถึงความเสี่ยงขาลงจากสินค้าคงทนที่นำเข้าจากจีน โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อ จะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% นอกจากนี้ รัฐบาลอาจใช้โอกาสที่ราคาน้ำมันดิบลดลง เก็บค่าธรรมเนียมน้ำมันเพิ่มเติมอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อเติมเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของรัฐ
ทั้งนี้ ตลอดปีนี้จนถึงปี 2569 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% และดำเนินนโยบายแบบเป็นกลาง เพื่อรักษาช่องว่างของการใช้นโยบาย ตลอดจนช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน อย่างไรก็ดี ซิตี้แบงก์คาดว่ามีโอกาส 40% ที่ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในครึ่งแรกของปี 2568 หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวตามคาดการณ์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ม.ค. 68)
Tags: ซิตี้แบงก์, นลิน ฉัตรโชติธรรม, เงินเฟ้อ, เศรษฐกิจไทย