องค์กรแพทย์ทั่วโลกหนุนใช้เกณฑ์ใหม่วินิจฉัยโรคอ้วน ไม่ยึดแค่ BMI

องค์กรแพทย์ 76 แห่งทั่วโลกสนับสนุนแนวทางใหม่ในการวินิจฉัยโรคอ้วน โดยไม่พึ่งเพียงค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ที่คำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูง แต่ให้ดูปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น รอบเอว เพื่อให้แม่นยำขึ้น

ทีมผู้เชี่ยวชาญ 56 คน เสนอแบ่งโรคอ้วนเป็น 2 ระยะ ตามผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet Diabetes and Endocrinology เมื่อวานนี้ (14 ม.ค.) คือ “โรคอ้วนทางคลินิก” (Clinical obesity) ที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น หายใจลำบาก หัวใจทำงานผิดปกติ หรือมีปัญหาในชีวิตประจำวัน กับ “ระยะเสี่ยงโรคอ้วน” (Pre-clinical obesity) ที่มีไขมันเกินแต่ยังไม่มีอาการผิดปกติ ซึ่งกลุ่มหลังนี้มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นโรคอ้วนทางคลินิกและโรคอื่น ๆ เช่น เบาหวาน จึงต้องได้รับการติดตามและดูแลอย่างใกล้ชิด

“โรคอ้วนมีหลายระดับ” ศ.นพ.ฟรานเชสโก รูบิโน จากคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ประธานคณะทำงาน กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อต้นสัปดาห์นี้

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคอ้วนกว่า 1 พันล้านคน ทั้งนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเกณฑ์ใหม่จะทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่จะช่วยยุติข้อถกเถียงในวงการแพทย์ว่าโรคอ้วนถือเป็นโรคหรือไม่

“เราไม่สามารถปล่อยให้โรคอ้วนเป็นเรื่องคลุมเครืออีกต่อไป” ศ.นพ.รูบิโนกล่าว

ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากองค์กรสำคัญ ๆ เช่น สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน สมาคมเบาหวานจีน และสหพันธ์โรคอ้วนโลก รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ร่วมอยู่ในคณะทำงานดังกล่าวที่เริ่มศึกษามาตั้งแต่ปี 2562

ศ.นพ.รูบิโนกล่าวว่า แม้การมียารักษาโรคอ้วนกลุ่ม GLP-1 ที่พัฒนาโดยบริษัทอิไล ลิลลี่ (Eli Lilly) และโนโว นอร์ดิสค์ (Novo Nordisk) จะเปลี่ยนภูมิทัศน์การรักษาไปมาก แต่คณะทำงานไม่ได้เน้นเรื่องการใช้ยา อย่างไรก็ตาม หากระบบสาธารณสุขทั่วโลกรับเกณฑ์วินิจฉัยใหม่นี้ไปใช้ จะช่วยให้แพทย์ตัดสินใจสั่งจ่ายยาได้เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละราย

นอกจากนี้ เกณฑ์ใหม่อาจทำให้บริษัทประกันสุขภาพพิจารณาคุ้มครองค่ายารักษาโรคอ้วนทางคลินิกได้เลย โดยไม่ต้องรอให้มีภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น เบาหวานก่อน

“เราหวังว่านี่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งในทางปฏิบัติ และสำคัญกว่านั้นคือการเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อโรคอ้วน” ศ.นพ.รูบิโนกล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ม.ค. 68)

Tags: ,