คิกออฟ “30 บาทรักษาทุกที่” เฟส 4 ครอบคลุมทั่วไทย ตั้งแต่ 1 ม.ค. 68

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “30 บาทรักษาทุกที่” ว่า วันนี้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ได้เดินทางมาถึงระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายที่ประชาชนอีก 31 จังหวัด จะได้ใช้บริการ 30 บาทรักษาทุกที่อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 เป็นต้นไป ซึ่งทำได้สำเร็จตามเป้าหมายใน 1 ปีแรก ซึ่งเท่ากับว่าใช้เวลาประมาณ 2 ทศวรรษ เปลี่ยนจาก 30 บาทรักษาทุกโรคเมื่อ 22 ปีที่แล้ว มาสู่การเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ในวันนี้ ซึ่งเป็นการ Digital Transformation หรือการเปลี่ยนผ่านระบบสุขภาพสู่ระบบดิจิทัล

“นโยบายนี้ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมารักษาตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบไปถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วย เช่น เสียเวลาทำมาหากิน เพราะรอนาน” น.ส.แพทองธาร กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันนี้ 30 บาทรักษาทุกที่ ได้เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประชาชนแล้ว 100% ประชาชนทุกคนมี Health ID ประจำตัว ได้รับบริการรักษาพยาบาลที่สะดวกรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องรอคิวตรวจนานที่โรงพยาบาลอีกต่อไป เพราะมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการให้บริการแก่ประชาชน เป็นใบส่งตัวในรูปแบบดิจิทัล การแจ้งเตือนนัดหมอผ่านไลน์ การหาหมอผ่านออนไลน์ การเปิดให้ร้านยาและคลินิกเอกชน เข้ามาร่วมเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิดูแลประชาชน เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนรับบริการใกล้บ้านตามเวลาราษฎรไม่ใช่เวลาราชการ

“ผลจากการที่มีทางเลือกใหม่ ๆ พบว่าทำให้ประชาชนกว่า 80,000 คน ที่ไม่เคยใช้สิทธิมาก่อน มาใช้ 30 บาทรักษาทุกที่ ที่ร้านยาและคลินิกเอกชน อีกทั้งการมีนัดหมายออนไลน์ และใบส่งตัวดิจิทัล ช่วยลดระยะเวลารอคอยของประชาชน เพราะไม่ต้องไปรอคิวแต่เช้า การมีระบบไอทีใน 30 บาทรักษาทุกที่ ผลวิจัยพบว่าทำให้ประชาชนในพื้นที่ นำร่องมีความรอบรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมากว่าพื้นที่อื่น” น.ส.แพทองธาร ระบุ

  • เดินหน้าพัฒนาระบบสาธารณสุข 6 ด้าน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากความสำเร็จของ 30 บาทรักษาทุกที่ในปีแรกแล้ว ในปี 2568 รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาระบบสาธารณสุข 6 ด้าน ดังนี้

1. ระบบริการสุขภาพผู้สูงอายุ จัดตั้งสถานชีวาภิบาลทั่วประเทศ

2. สร้าง Care Giver หรือนักบริบาลผู้สูงอายุ 15,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานในชุมชน โดยจะเน้นกลุ่มที่เป็นนักศึกษาจบใหม่ และผู้สูงอายุหลังเกษียณเพื่อให้มีงานทำ

3. เพิ่มความเข้มแข็งการดูแลสุขภาพของประชาชน คัดกรองเร็ว รู้เร็ว รักษาง่าย ปัจจุบัน มีชุดตรวจคัดกรองด้วยตนเอง ที่ประชาชนใช้แค่บัตรประชาชนไปขอรับได้ที่ร้านยา คือ ชุดตรวจมะเร็งปากมดลูก ชุดตรวจการติดเชื้อเอชไอวี ชุดตรวจพยาธิใบไม้ตับ และมะเร็งท่อน้ำดี ในปีนี้จะเพิ่มชุดตรวจไมโครอัลบูมินในปัสสาวะ ป้องกันโรคไตเสื่อมจากเบาหวาน

4. การดูแลสุขภาพจิตของคนไทย ด้วยบริการจิตเวชครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน รักษา และการให้คำปรึกษา บำบัด ทั้งศูนย์ให้ปรึกษาทางจิตเวช และการรับการปรึกษาทางสุขภาพจิตผ่านแอปพลิเคชัน

5. การบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยติดสารเสพติดกลับสู่สังคม

6. ขับเคลื่อน 50 โรงพยาบาล 50 เขต เพื่อคนกรุงเทพฯ มีโรงพยาบาลใกล้บ้านเป็นที่พึ่ง

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เริ่มเมื่อวันที่ 7 ม.ค.67 ที่ 4 จังหวัด, ระยะที่ 2 เริ่มเมื่อ 1 มี.ค.67 เพิ่มเติมอีก 8 จังหวัด และระยะที่ 3 เริ่มเมื่อวันที่ 1 พ.ค.67 ขยายอีก 33 จังหวัด และกรุงเทพฯ

โดยที่ผ่านมา “30 บาทรักษาทุกที่” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ประชาชนมีความพึงพอใจอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้มีทางเลือกในการรับบริการสุขภาพมากขึ้น นอกจากรับบริการตามชั้นตอนเดิมแล้ว ได้ร่วมกับสภาวิชาชีพทางการแพทย์ เพิ่มหน่วยบริการนวัตกรรมอีก 7 ประเภท โดยขึ้นทะเบียนในระบบแล้วประมาณ 13,000 แห่ง มีประชาชนรับบริการแล้วกว่า 6.5 ล้านคน หรือประมาณ 15 ล้านครั้ง นอกจากนี้ ยังมี 14 บริการนวัตกรรมทางเลือกใหม่ เช่น ระบบการแพทย์ทางไกล, หาหมอผ่านแอปพลิเคชัน, รถทันตกรรมเคลื่อนที่, คลินิกเวชกรรมเชิงรุก, ตู้ห่วงใย, เจาะเลือดที่บ้าน, รถรับ-ส่งผู้ป่วย เป็นต้น

สำหรับ 31 จังหวัดที่จะให้บริการ 30 บาทรักษาทุกที่ ตั้งแต่ 1 ม.ค.68 เป็นต้นไป ได้แก่ 1.ตาก 2.สุโขทัย 3.พิษณุโลก 4.อุตรดิตถ์ 5.ขอนแก่น 6.มหาสารคาม 7.กาฬสินธุ์ 8.มุกดาหาร 9.ยโสธร 10.ศรีษะเกษ 11.อุบลราชธานี 12.สมุทรปราการ 13.ปราจีนบุรี 14.ฉะเชิงเทรา 15.ชลบุรี 16.ระยอง 17.จันทบุรี 18.ตราด 19.กาญจนบุรี 20.สุพรรณบุรี 21.นครปฐม 22.สมุทรสาคร 23.สมุทรสงคราม 24.ราชบุรี 25.ประจวบคีรีขันธ์ 26.ชุมพร 27.ระนอง 28.สุราษฎร์ธานี 29.กระบี่ 30.นครศรีธรรมราช และ 31.ภูเก็ต

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ธ.ค. 67)

Tags: , ,