SCB CIO มองภาพเศรษฐกิจสหรัฐปี 68 ยังโตสูงเหนือชาติอื่นแม้ชะลอลง แนะสะสมหุ้น Quality Growth

นายศรชัย สุเนต์ตา CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 68 มีแนวโน้มขยายตัวช้าลง อ้างอิงจากการคาดการณ์ GDP ของ SCB EIC ล่าสุดคาดว่า GDP โลกปีนี้จะขยายตัว 2.7% และปีหน้าจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 2.5% จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายกีดกันการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่กำลังจะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.68

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความรุนแรงในการดำเนินนโยบายกีดกันการค้า และระยะเวลาที่จะเริ่มใช้นโยบายนี้ โดยมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตลดลงเช่นเดียวกับเศรษฐกิจโลก แต่ยังขยายตัวสูงกว่าเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ

ทั้งนี้ SCB EIC คาดการณ์ว่า GDP สหรัฐฯ ในปี 68 จะขยายตัว 1.9% ด้วยแรงหนุนจากนโยบายการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ แต่จะเผชิญความเสี่ยงจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเฉลี่ย 20% และประเทศอื่นๆ เฉลี่ยอีก 10% รวมถึงการกีดกันผู้อพยพ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะระมัดระวังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 68 ตามแรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐที่อาจสูงขึ้น

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักต่างๆ ในโลกในปีหน้า ยังมีแนวโน้มปรับลดลง แต่ด้วยแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากนโยบายของนายทรัมป์ รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่คาดว่ายังคงยืดเยื้อต่อไป ทั้งความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ถึงแม้ว่านายทรัมป์จะออกมาประกาศว่าจะยุติสงครามโดยเร็วก็ตาม ทำให้ธนาคารกลางต่างๆ มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

ด้านแนวโน้มตลาดเงินตลาดทุน SCB CIO คาดว่าเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (UST Yield Curve) มีแนวโน้มปรับเพิ่มความชันมากขึ้น แม้เฟดจะยังลดดอกเบี้ยต่อก็ตาม เนื่องจากนโยบายของนายทรัมป์อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับตัวลดลงในขอบเขตจำกัดมากขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวยังทรงตัวสูงอยู่ หรือปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้น ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อยังลดลงช้า

และเรามองว่า UST Yield Curve มีแนวโน้มเข้าสู่ Normal Yield Curve ซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่ต่ำกว่าระยะยาว ในปี 68 ดังนั้น จึงแนะนำให้เน้นลงทุนหุ้นกู้สหรัฐคุณภาพสูง (Investment Grade) ระยะสั้น 2-4 ปีที่ให้ Yield อยู่ในระดับใกล้เคียงกับหุ้นกู้ระยะยาว และ Yield เฉลี่ยอยู่สูงกว่าประมาณการอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของเฟดที่ 3.0% นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่ราคาจะลดลง ในกรณีที่ Bond Yield หรือ Credit Spread ปรับเพิ่มขึ้น ยังอยู่ต่ำกว่าหุ้นกู้ระยะยาว

SCB CIO มองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ยังขยายตัวดี ท่ามกลางปัจจัยสนับสนุนจากกระแสการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายทรัมป์ แม้ราคาที่วัดจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ค่อนข้างสูง แต่ความเสี่ยงที่จะลดลงมากมีจำกัด จากแนวโน้มการเพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้น และโมเมนตัม EPS ที่ยังดี

แนะนำลงทุนระยะยาวเน้นหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่ EPS แนวโน้มขยายตัวดี และสอดรับกระแส AI ผสมผสานกับหุ้น Defensive ที่ทนทานทุกสภาวะตลาด เพื่อลดความเสี่ยงสงครามการค้า ส่วนระยะสั้น แนะนำหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก เช่น หุ้นในกลุ่ม Russell 2000 ที่มีรายได้ส่วนใหญ่จากในประเทศ ทำให้ได้อานิสงส์ค่อนข้างมากจากนโยบายกระตุ้นต่างๆของนายทรัมป์

ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่น มองว่ามีความน่าสนใจมากขึ้น จากแนวโน้มการปฏิรูปธรรมาภิบาล และมีแรงซื้อจากนักลงทุน ทั้งจากกรายย่อย ผ่านโครงการลงทุนที่ได้ประโยชน์ทางภาษี และจากกองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐบาลญี่ปุ่น (GPIF) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในเยอรมนีและฝรั่งเศส สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมทั้ง อาจเผชิญแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-ยุโรป และข้อพิพาททางการค้าระหว่าง จีน-ยุโรป บนประเด็นรถ EV

ส่วนนตลาดหุ้นเกิดใหม่ ได้แรงสนับสนุนจาก Valuation ที่ยังถูกกว่าตลาดพัฒนาแล้ว ยกเว้นตลาดหุ้นอินเดีย ส่วน EPS มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง และเผชิญความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้ามากขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่มีแนวโน้มผันผวนได้ในช่วงสั้น เราจึงแนะนำกระจายความเสี่ยงให้พอร์ต โดยเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ระยะยาว ทั้งในตลาดหุ้นอินเดีย อินโดนีเซีย จีน A-Share และไทย เนื่องจากจะได้รับอานิสงส์จากการที่ทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ท่ามกลางความเสี่ยงข้อพิพาทการค้ากับสหรัฐฯที่มีอยู่ และลงทุนระยะสั้นกับตลาดหุ้นเวียดนาม จากเศรษฐกิจเวียดนามในปี 68 ยังมีแนวโน้มขยายตัวแข็งแกร่ง ได้แรงหนุน จากการลงทุนภาครัฐ และเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ปรับเพิ่มขึ้น

อีกทั้งเวียดนามกำลังดำเนินการยกระดับสถานะจากตลาดชายขอบ (Frontier Market) สู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มขยายตัวดี สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ และ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยดัชนี VN Index ซื้อขายบน 12M Fwd P/E ที่ 10.2x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงที่สำคัญซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจ คือ การที่ทรัมป์ ดำเนินนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับเวียดนาม แต่เรามองว่า จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเวียดนามอย่างจำกัด

ขณะที่สินทรัพย์ทางเลือกยังคงแนะนำลงทุนระยะยาว ในทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเพิ่มขึ้น และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกลับมารุนแรงได้ ประกอบกับเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการที่ธนาคารกลางในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาต้องการสะสมทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ธ.ค. 67)

Tags: ,