หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ (Washington Post) รายงานเมื่อวันจันทร์ (23 ธ.ค.) ว่า คณะกรรมการการลงทุนต่างประเทศในสหรัฐฯ (CFIUS) แจ้งทำเนียบขาวว่า ยังไม่สามารถหาข้อยุติเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงในการที่นิปปอน สตีล (Nippon Steel) จะเข้าซื้อ ยูเอส สตีล (United States Steel Corp)
การตัดสินใจขณะนี้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งมีเวลา 15 วันในการดำเนินการ ทั้งไบเดนและว่าที่ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ต่างแสดงจุดยืนคัดค้านดีลมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์นี้ที่นิปปอน สตีล ประกาศเมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
นิปปอน สตีล แถลงในวันนี้ (24 ธ.ค.) ว่า ยังไม่ได้รับการแจ้งความคืบหน้าใด ๆ จาก CFIUS ขณะที่ยูเอส สตีล ยังไม่ตอบกลับการขอความเห็นจากสำนักข่าวรอยเตอร์ เดิมทีทั้งสองบริษัทวางแผนจะปิดดีลให้เสร็จก่อนสิ้นปีนี้
CFIUS ชี้แจงเมื่อวันจันทร์ว่า การอนุญาตให้นิปปอน สตีล เข้าซื้อกิจการยูเอส สตีล อาจทำให้การผลิตเหล็กในประเทศลดลง ซึ่งถือเป็น “ความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติ” ตามรายงานของวอชิงตันโพสต์
นิปปอน สตีล ระบุว่าสามารถขจัดความเสี่ยงดังกล่าวได้ด้วยการแต่งตั้งชาวอเมริกันให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงและกรรมการบริหารของยูเอส สตีล แต่คณะกรรมการยังมีความเห็นแตกต่างกันว่า มาตรการเยียวยาเหล่านี้จะเพียงพอหรือไม่
หากดีลล่ม นิปปอน สตีล จะต้องจ่ายค่าปรับ 565 ล้านดอลลาร์ให้ยูเอส สตีล ซึ่งจะเกิดความเสียหายอย่างหนักต่อแผนขยายธุรกิจในต่างประเทศของผู้ผลิตเหล็กสัญชาติญี่ปุ่นรายนี้ โดยนิปปอน สตีล เคยแจ้งไว้ก่อนหน้านี้ว่าอาจฟ้องร้องรัฐบาลสหรัฐฯ หากข้อตกลงไม่สำเร็จ
การได้ยูเอส สตีล มาครอบครอง จะทำให้นิปปอน สตีล สามารถเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กทั่วโลกจาก 65 ล้านเมตริกตันต่อปีในปัจจุบัน เป็น 85 ล้านเมตริกตัน และสินทรัพย์นี้เป็นกุญแจสำคัญสู่เป้าหมายการเพิ่มกำลังผลิตให้เกิน 100 ล้านตันในระยะยาว
ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นผู้ลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จึงได้ส่งสารถึงปธน.ไบเดนเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อขอให้อนุมัติการซื้อกิจการยูเอส สตีล ของนิปปอน สตีล
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ธ.ค. 67)
Tags: Nippon Steel, นิปปอน สตีล, ผู้ผลิตเหล็ก, ยูเอส สตีล