สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (29 พ.ย.) และร่วงลงมากกว่า 3% ในรอบสัปดาห์นี้ หลังตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอุปทานน้ำมันที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และมีแนวโน้มว่าปริมาณน้ำมันจะเพิ่มขึ้นในปี 2568 แม้คาดว่ากลุ่มโอเปกพลัสจะยังคงปรับลดการผลิตต่อไปก็ตาม
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 72 เซนต์ หรือ 1.05% ปิดที่ 68.00 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 34 เซนต์ หรือ 0.46% ปิดที่ 72.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 4.8% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 3.1%
ข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลในวันพุธ (27 พ.ย.) ได้ช่วยลดความเสี่ยงในตลาดน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันลดลง แม้ทั้งอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ถูกกล่าวหาว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิงก็ตาม โดยสำนักข่าวของทางการของเลบานอนรายงานว่า รถถังของอิสราเอลจำนวน 4 คันได้เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชายแดนเลบานอนเมื่อวันศุกร์
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งในตะวันออกกลางไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันซึ่งคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นในปี 2568
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดว่า จะมีอุปทานน้ำมันส่วนเกิน 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเท่ากับมากกว่า 1% ของผลผลิตทั่วโลก
กลุ่มโอเปกพลัสซึ่งประกอบด้วยกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตรซึ่งรวมถึงรัสเซีย ได้เลื่อนการประชุมกำหนดนโยบายครั้งถัดไปจากวันที่ 1 ธ.ค.ไปเป็นวันที่ 5 ธ.ค. โดยคาดว่า โอเปกพลัสจะตัดสินใจขยายเวลาการปรับลดการผลิตต่อไปในการประชุมครั้งนี้
ผลสำรวจนักวิเคราะห์ 41 คนโดยรอยเตอร์บ่งชี้ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจเฉลี่ยอยู่ที่ 74.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2568 ซึ่งเป็นการปรับลดคาดการณ์ลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ย. 67)
Tags: น้ำมัน WTI, น้ำมันดิบ, ราคาน้ำมัน