กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ระบุว่า หนึ่งเหตุการณ์สำคัญส่งท้ายปีนี้สำหรับเศรษฐกิจไทย คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่เกือบจะเป็นนัดล้างตาระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” จากรีพับลิกัน และ “โจ ไบเดน” จากเดโมแครต แต่เพียง 3 เดือนก่อนการเข้าคูหากาบัตร “ไบเดน” ไปต่อไม่ไหว ส่งไม้ต่อให้กับ “คามาลา แฮร์ริส” รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
ทั้งนี้ แม้ว่าโดยผิวเผินการเลือกตั้งในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะมีจุดยืนกันคนละฝั่ง โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงไทย อาจจะไม่ต่างกันมากนัก
KKP Research วิเคราะห์ว่า ทำไมการเลือกในครั้งนี้ อาจเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลกมากขึ้นไปอีก และไม่ว่าใครจะชนะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอาจจะไม่แตกต่างกันนัก จากนโยบายการค้าที่หันมากีดกันคู่ค้ามากขึ้น ต่างกันเพียงแค่ “ดีกรี” ว่าจะกีดกันมากหรือน้อย
- โลกาภิวัตน์ไม่เหมือนเดิม
หลายคนมักตั้งคำถามว่า ทำไมจู่ ๆ หลายประเทศในโลกเสรี โดยเฉพาะสหรัฐฯ หันมาขึ้นภาษีนำเข้า และกีดกันทางการค้ามากขึ้น ทั้งที่เศรษฐศาสตร์ 101 มักมีข้อสรุปที่ว่า “การค้าเสรี” เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวมมากกว่า และทุกประเทศจะได้ผลประโยชน์จากการค้าไปด้วยกัน
อย่างไรก็ดี การกีดกันทางการค้าที่มากขึ้น สาเหตุหลักคงเป็นเพราะกระแสโลกาภิวัตน์แบบเดิม กำลังหันกลับมาสร้างต้นทุนมหาศาลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง ที่ในช่วงที่ผ่านมาสูญเสียส่วนแบ่งในภาคการผลิตให้แก่ประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะจีน และทำให้การจ้างงานของแรงงานในภาคการผลิตสหรัฐฯ หดตัวลงอย่างต่อเนื่องหลังปี 2543 จนเมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่ประโยชน์จากการค้าเสรีไม่สามารถชดเชยกับการจ้างงานที่หายไป ความไม่พอใจของกลุ่มแรงงานได้ก่อตัวขึ้น ลุกลามไปยังภาคการเมือง ทำให้นโยบายทางการเมืองไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหันมาเน้นภาคการผลิต และการจ้างงานในประเทศ
ดังนั้น คือ ที่มาว่าทำไมสหรัฐฯ จึงพยายามออกแบบนโยบายเพื่อนำการลงทุนกลับมาในประเทศตัวเอง และออกนโยบายกีดกันทางการค้า นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือการเมืองระหว่างประเทศกับประเทศอื่น อย่างจีน รัสเซีย อิหร่าน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญให้กระแสโลกาภิวัตน์ไม่สามารถกลับไปเป็นแบบเดิมได้
สำหรับการเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ว่าใครจะชนะ เรามีโอกาสค่อนข้างสูง ที่จะไม่เห็นการค้าโลก และกระแสโลกาภิวัตน์กลับไปเติบโตรุ่งเรืองแบบในอดีต เพราะสหรัฐฯ กำลังจะไม่สนใจโลกาภิวัตน์แบบเดิมอีกต่อไปแล้ว ทั้งพรรคเดโมแครต และพรรครีพับริกัน ต่างมีนโยบายที่กีดกันทางการค้าและการลงทุนกับประเทศอื่นทั้งคู่ ต่างกันเพียงแค่รายละเอียด และเครื่องมือที่ใช้เท่านั้น
โดย “ทรัมป์” จะมุ่งเน้นไปที่การขึ้นภาษีนำเข้าต่อประเทศคู่ค้าในทุกสินค้า ขณะที่ “แฮร์ริส” อาจสานต่อนโยบายของไบเดน กล่าวคือ การกีดกันการเข้าถึงเทคโนโลยี และใช้การขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้าสำคัญในบางประเภทเท่านั้น ซึ่งแนวโน้มนี้ จะมีผลกระทบค่อนข้างมากต่อกลุ่มประเทศในอาเซียน เพราะส่วนใหญ่เป็นเศรษฐกิจที่มีการพึ่งพาการค้าโลกในสัดส่วนสูง เพื่อสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หากการค้าโลกมีความเสี่ยงที่ชะลอตัวลง อาจทำให้แรงกดดันต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาวได้
- นโยบายทรัมป์ “ปั่นป่วน” การค้าโลก
แม้ว่าทั้งสองพรรคมีแนวโน้มที่จะหันหลังให้กับการค้าโลกแบบเสรีมากขึ้น และหันไปเน้นการผลิตภายในประเทศ แต่นโยบายของทรัมป์ที่จะขึ้นอัตราภาษีนำเข้า 60% ต่อสินค้าจากจีน และ 10% กับทุกสินค้าที่มาจากประเทศอื่นทั่วโลก อาจเร่งให้การค้าโลกหดตัวเร็วกว่าที่คาด และจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในด้านการค้า และการลงทุนจากต่างประเทศ
KKP Research ประเมินว่า ผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของ “ทรัมป์” มี 5 ด้านสำคัญ คือ
1. ผลกระทบทางตรงจากภาษีนำเข้า 10% (Tariff effect) การขึ้นภาษี 10% ต่อสินค้านำเข้าสหรัฐฯ จะทำให้มูลค่าการส่งออกไทยเผชิญกับความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐฯ เป็นตลาดสำคัญที่สุดสำหรับสินค้าส่งออกของไทย สะท้อนผ่านสัดส่วนการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจากเดิมที่ 10% ในปี 2553 เป็น 17.5% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2566
นอกจากนี้ การที่ดุลการค้าของไทยไม่ได้ขาดดุลมากกว่านี้ ส่วนหนึ่งเพราะตลาดสหรัฐฯ สามารถรองรับสินค้าส่งออกจากไทยได้มากขึ้น ทำให้ไทยมีการเกินดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ สูงขึ้นถึง 6% ของ GDP แต่หากดุลการค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ลดลงจากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น อาจทำให้ดุลการค้าโดยรวมไทยขาดดุลเพิ่มขึ้นไปอีก
2. การเบี่ยงเบนทางการค้าผ่านตลาดอาเซียน (Trade diversion) ประโยชน์ส่วนหนึ่งที่ไทยอาจได้รับ คือ หากสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 60% ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการในสหรัฐฯ หันมานำเข้าสินค้าจากตลาดอื่นในสัดส่วนที่มากขึ้น เช่น อาเซียน ที่มีอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่า ซึ่งไทยอาจจะยังได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าในส่วนนี้
อย่างไรก็ตาม การเบี่ยงเบนทางค้าอาจเป็นดาบสองคม เพราะมีความเสี่ยงที่จีนจะใช้ไทยเป็นเพียงช่องทางผ่านของสินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ เท่านั้น (Re-routing) ซึ่งกิจกรรมนี้สร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตในประเทศไทยน้อยมาก และยังเสี่ยงกับการถูกมาตรการตอบโต้อื่น ๆ จากสหรัฐฯ อีกด้วย
3. การโยกย้ายการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศ (Relocation) เช่นเดียวกับการได้ประโยชน์บางส่วนจากการเบี่ยงเบนทางการค้า หากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง จะทำให้บริษัทข้ามชาติต่าง ๆ มีการกระจายความเสี่ยงในด้านการลงทุน และห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น และไทยเองอาจยังได้รับอานิสงส์จากการโยกย้ายการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นอาจเห็นเม็ดเงินลงทุนชะลอตัว เพราะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกอาจเพิ่มสูงขึ้นจากสงครามการค้า และประโยชน์ที่ไทยจะได้รับในระยะยาวผ่านช่องทางนี้ อาจน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาความสามารถในการแข่งขันของไทยเอง
4. ปัญหาสินค้าจีนทะลักรุนแรงมากขึ้น (China dumping) หากสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับจีนเพิ่มขึ้น จะทำให้มีความเสี่ยงที่อุปสงค์ในจีนชะลอตัวลงแรงยิ่งขึ้น และอุปทานส่วนเกินในจีน ไม่สามารถระบายไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ง่ายนัก ทำให้สินค้าต่าง ๆ จะถูกนำมาขายในตลาดอื่น ๆ โดยเฉพาะในอาเซียน รวมทั้งไทยมากขึ้นไปอีก ซึ่งสินค้าที่ทะลักเข้ามา จะยิ่งทำให้ผู้ผลิตในไทยเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้าราคาถูกจากจีนมากยิ่งขึ้น และเสี่ยงทำให้ผู้ผลิตในไทยไม่สามารถแข่งขันได้ ต้องลดปริมาณการผลิตลงต่อเนื่อง หรือปิดตัวโรงงาน
5. ค่าเงินในภูมิภาคเสี่ยงอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียอาจมีแนวโน้มปรับอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อชดเชยกับอัตราภาษีนำเข้าที่ถูกปรับขึ้น หากย้อนกลับไปดูในช่วงสงครามการค้า (Trade war) ในปี 2561 ระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทปรับอ่อนค่าตามดัชนีดอลลาร์ หลังจากที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าต่อจีน แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว สาเหตุหลักที่ค่าเงินบาทปรับแข็งค่าหลังจากนั้น เป็นเพราะไทยยังได้รับอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวจีนที่พอจะช่วยสนับสนุนให้ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าได้
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันทั้งดุลการค้าที่เผชิญกับปัญหาความสามารถในการแข่งขัน และภาษีนำเข้าที่จะสูงขึ้น รวมไปถึงดุลบริการไม่กลับไปสูงแบบในอดีต จะทำให้ค่าเงินบาทมีความอ่อนไหวต่อทิศทางของดอลลาร์ และภาษีนำเข้าสูงขึ้นกว่าในอดีต
- จับตาอุตสาหกรรมไหน รับ “ศึกหนัก”
ภายใต้การนำของรองประธานาธิบดี “แฮร์ริส” คาดว่าการดำเนินนโยบายตามสถานะเดิม จะส่งผลกระทบไม่มากนักต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินไทยโดยรวม อย่างไรก็ตาม ในกรณีของประธานาธิบดี “ทรัมป์” ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไทยจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะนโยบายด้านการค้า คาดว่าจะมีดังนี้
– สินค้าส่งออกของไทยที่สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์ มีความเสี่ยงที่จะถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้า และอาจถูกมาตรการตอบโต้เพิ่มเติมจากสหรัฐฯ เพราะอาจเป็นอุตสาหกรรมที่จีนใช้ไทยเป็นช่องทางผ่าน เพื่อส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ
– นิคมอุตสาหกรรมน่าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากประเด็นการย้ายถิ่นฐานในระยะยาว แต่ประโยชน์ในระยะสั้น จะถูกบดบังด้วยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูง
– การท่องเที่ยว ปิโตรเคมี และบรรจุภัณฑ์มีความเสี่ยงสูงจากอุปสงส์ของจีนที่ลดลง เนื่องจากภาษีนำเข้าจากจีนที่สูงขึ้น
– ภาคการผลิต เช่น เหล็กและเหล็กกล้า เฟอร์นิเจอร์ สารเคมี และยานยนต์ รวมถึง SMEs จำนวนมากในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก มีความเสี่ยงสูงจากการแข่งขันนำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อเนื่องไปถึงภาคการเงินที่มีความเสี่ยงต่อภาคธุรกิจเหล่านี้สูง ที่อาจจะต้องเผชิญกับคุณภาพสินเชื่อ และคุณภาพเครดิตที่มีแนวโน้มด้อยลงในอนาคต
- ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยจากการค้าของโลก ที่กำลังเปลี่ยนไปเป็น Protectionism มากขึ้น กำลังก่อตัวขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญเปราะบางจากปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว เช่น หนี้ครัวเรือน สังคมสูงวัย ความสามารถในการแข่งขัน หากดุลการค้าไทยขาดดุลต่อเนื่อง ภาคการส่งออกไม่สามารถเป็นแหล่งระบายสินค้าจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยได้ อาจทำให้การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไทยลดลงหรืออัตราว่างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลอย่างยิ่งต่อรายได้ และงบดุลของครัวเรือนไทยที่กำลังเปราะบางอยู่แล้ว และอาจทำให้ปัญหาหนี้ในปัจจุบันเป็นปัญหาหนักขึ้นไปอีก
ดังนั้น นโยบายภาครัฐ จึงควรมีการเตรียมพร้อมที่จะรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากแนวโน้มของภูมิทัศน์การค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนไป เพื่อไม่ให้ปัญหานี้ลุกลามไปยังครัวเรือนไทยในวงกว้าง อนึ่ง แนวทางของนโยบายการค้าไทยแบบเดิม ที่มุ่งเน้นการเจรจาข้อตกลงทางการค้าและเปิดตลาดโดยการเจรจาเรื่องการลดภาษีนำเข้า อาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป เพราะอัตราภาษีนำเข้าในปัจจุบัน ก็ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำมากแล้ว การมุ่งเน้นไปที่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไทย และการดูแลไม่ให้เกิดการแข่งขันแบบไม่เป็นธรรม จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการออกแบบนโยบาย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 67)
Tags: KKP, กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร, การส่งออก, คามาลา แฮร์ริส, ธนาคารเกียรตินาคินภัทร, โจ ไบเดน, โดนัลด์ ทรัมป์