ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 431.63 จุด ทำนิวไฮ ขานรับรายงานประชุมเฟด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันพุธ (9 ต.ค.) โดยดาวโจนส์ และ S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนก.ย. ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2567 ของบริษัทจดทะเบียน

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,512.00 จุด เพิ่มขึ้น 431.63 จุด หรือ +1.03%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,792.04 จุด เพิ่มขึ้น 40.91 จุด หรือ +0.71% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,291.62 จุด เพิ่มขึ้น 108.70 จุด หรือ +0.60%

รายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 17-18 ก.ย.ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่สนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ยลงมากถึง 0.50% อย่างไรก็ดี กรรมการเฟดมีความเห็นตรงกันว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะไม่ผูกมัดเฟดให้ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอัตราใดเป็นพิเศษในอนาคต

ลินด์ซีย์ เบลล์ หัวหน้านักกลยุทธ์จากบริษัท 248 Ventures ในรัฐนอร์ทแคโรไลนากล่าวว่า “รายงานการประชุมเฟดยืนยันในสิ่งที่เราคิดมาโดยตลอดและทำให้นักลงทุนคลายความกังวล โดยรายงานบ่งชี้ว่ากรรมการเฟดมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ซึ่งหมายความว่ากรรมการเฟดไม่ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจำเป็นจะต้องปรับลดดอกเบี้ยรุนแรงถึง 0.50% นอกจากนี้ รายงานการประชุมยังเป็นการยืนยันว่า เฟดมีความเชื่อมั่นว่าสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้แล้ว ดังนั้นตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้จึงไม่น่าจะสร้างความประหลาดใจมากนัก”

ในการประชุมเมื่อวันที่ 17-18 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติ 11 ต่อ 1 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ตามการคาดการณ์ของตลาด โดยมิเชล โบว์แมน เป็นกรรมการเพียงคนเดียวที่สนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25%

ข้อมูลล่าสุดจาก CME’s FedWatch บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 79% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ย. และให้น้ำหนัก 21% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหุ้นที่จดทะเบียนในดัชนี S&P500 โดยทะยานขึ้น 2.12% ตามด้วยหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวขึ้น 1.07% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงหนักสุด โดยปรับตัวลง 2.63% ตามด้วยหุ้นกลุ่มวัสดุลดลง 0.37%

หุ้นอัลฟาเบท (Alphabet) ปิดลบ 1.5% หลังจากมีรายงานว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ อาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อบังคับให้อัลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล (Google) ขายธุรกิจบางส่วนออกไป ซึ่งรวมถึงเบราว์เซอร์โครม (Chrome) และระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) โดยกระทรวงมองว่ากูเกิลใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อผูกขาดตลาดการค้นหาทางออนไลน์

หุ้นนอร์วีเจียน ครูส ไลน์ (Norwegian Cruise Line) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเรือสำราญ ทะยานขึ้น 10.9% หลังจากซิตี้กรุ๊ปปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นนอร์วีเจียนขึ้นสู่ระดับ “Buy” ขณะที่หุ้นบริษัทเรือสำราญรายอื่น ๆ ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นคาร์นิวัล (Carnival) พุ่งขึ้น 7% และหุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูส (Royal Caribbean Cruises) พุ่งขึ้น 5.2%

หุ้นอาร์คาเดียม ลิเทียม (Arcadium Lithium) ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่ลิเทียมของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 30.9% หลังจากริโอทินโต (Rio Tinto) ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองรายใหญ่อันดับสองของโลก ประกาศซื้อกิจการอาร์คาเดียมในวงเงิน 6.7 พันล้านดอลลาร์

นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2567 ของธนาคารรายใหญ่สหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ พร้อมกับจับตาการเปิดเผยดัชนี CPI ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI จะปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี หลังจากเพิ่มขึ้น 2.5% ในเดือนส.ค. และคาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงานจะปรับตัวขึ้น 3.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี หลังจากเพิ่มขึ้น 3.2% เช่นกันในเดือนส.ค.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ต.ค. 67)

Tags: , , ,