บลจ.ดาโอ ออกกองหุ้นเติบโตชั้นดีของสหรัฐบน Mega Trends 8 ธีมหลักเปิดขาย IPO 3-10 ต.ค.

นางสาวนิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บลจ.ดาโอ แนะนำโอกาสลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ผ่านกองทุนเปิด ดาโอ ยูเอส อิควิตี้ โกรท (DAOL-USEQG) เปิดเสนอขายวันที่ วันที่ 3-10 ตุลาคม 2567 (ความเสี่ยงระดับ 6 : ความเสี่ยงสูง) ลงทุนผ่าน กองทุนหลัก Baillie Gifford Worldwide – US Equity Growth Fund ซึ่งบริหารจัดการโดย Baillie Gifford ที่มีความเชี่ยวชาญการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ กองทุนมีนโยบายลงทุนในหุ้นเติบโตชั้นดีของสหรัฐอเมริกาในหลากหลายกลุ่มธุรกิจตามการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศสหรัฐฯ มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว (Investment Horizon 5 ปีขึ้นไป)

ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่มองโอกาสเติบโตในอนาคต ผู้จัดการกองทุนเล็งเห็นการเติบโตจาก Mega Trends 8 ธีมที่น่าสนใจ ได้แก่ 1) การซื้อ-ขายสินค้าและบริการ 2) การสร้างเนื้อหา และใช้อัลกอริธึมเพื่อดึงดูดผู้บริโภค 3) การทำธุรกิจรูปแบบใหม่ และมีความแตกต่าง 4) ธุรกิจการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม 5) ธุรกิจที่พัฒนาและนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการขนส่ง 6) ธุรกิจการจัดสรรเงินทุนกับธุรกิจ 7) ธุรกิจการเรียนออนไลน์และการศึกษาแบบดิจิทัล และ 8)ธุรกิจทางการเงินและบริการที่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล

ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนหลักเลือกลงทุน

The Trade Desk บริษัทเทคโนโลยีด้านการโฆษณาออนไลน์

Amazon.com บริษัทอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ ขายสินค้ำหลากหลายประเภท

Meta Platforms บริษัทเทคโนโลยีที่พัฒนาและให้บริการโซเชียลมีเดีย

NVIDIA บริษัทเทคโนโลยีออกแบบผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกราฟิกการ์ด

Shopify แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่สร้างร้านค้าออนไลน์

ด้วยกลยุทธ์ลงทุนแบบ Bottom-up เน้นหาบริษัทที่เป็นหุ้นเติบโตมีความสามารถเพิ่มผลตอบแทน และสร้างมูลค่าให้กับกองทุน ทำให้กองทุน Baillie Gifford Worldwide US Equity Growth Fund ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 6.7% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 21.5% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ -15.3% และย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 10.6% (ที่มา Baillie Gifford ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567)

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเมื่อพิจารณาระดับราคาหุ้น แม้ว่าดัชนี S&P500 ได้พุ่งทำจุดสูงสุดใหม่หลายครั้งในปีนี้ แต่หากไม่รวมหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 จะพบว่า ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ Forward P/E ประมาณ 19.2 เท่า ซึ่งต่ำกว่าดัชนี S&P500 โดยรวมที่ 21.3 เท่า ดังนั้นด้วยความโดดเด่นของบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโต อีกทั้งการลงทุนเชิงรุกที่เน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นบริษัทที่มีการเติบโตที่โดดเด่น จำนวน 30-50 หลักทรัพย์ในพอร์ต กองทุน DAOL-USEQG จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจาก Mega Trends ในอนาคต ที่ บลจ.ดาโอ อยากแนะนำ

บลจ.ดาโอ มองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ปัจจัยสนับสนุนหลัก คือ การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% มาอยู่ที่ 4.75-5.00% ในการประชุมครั้งล่าสุดเดือนกันยายน 2567 พร้อมกับถ้อยแถลงประธานเฟดที่ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้แข็งแกร่ง ไม่เห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในขณะนี้ ขณะเดียวกัน FED Dot Plot ก็บ่งชี้ว่า FED มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 4.00-4.25% ในปี 2567 และอีก 4 ครั้งในปี 2568 สู่ระดับ 3.00-3.25% ซึ่งถือว่าจะเป็นการเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลงหลังดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

การปรับลดอัตราดอกเบี้ย คาดว่าจะมีผลให้อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวลดลงตาม ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง Valuation มีโอกาสได้รับการ Rerating เพิ่มขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มหุ้นที่อัตราการเติบโตโดดเด่น (Growth Stock) ทั้งนี้เมื่อดูจากสถิติย้อนหลังในอดีต จะเห็นได้ว่ากลุ่มดังกล่าวจะเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดหลัง FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างเช่น หุ้นเติบโตในกลุ่ม บริการด้านการสื่อสาร (Communication Services) และกลุ่มเทคโนโลยี ที่มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +3.46%, +1.49 ในหนึ่งสัปดาห์หลังการปรับลดดอกเบี้ย, +3.83%, +6.42% ในหนึ่งเดือนถัดมา และ +7.10%, +1.91% ในสามเดือนถัดมา ในขณะที่ดัชนี S&P 500 มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ -0.56%, +2.45% และ +2.10% ตามลำดับ

นอกจากนี้ยังคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ปี 2567 คาดเติบโต 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็นการเติบโตสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564 และคาดการณ์เติบโตต่อเนื่องในปี 2568 เป็น 15% กลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ดี ได้แก่ Info Tech , Comm Services และ Consumer Discretionary ซึ่งจัดเป็นหุ้นในกลุ่ม Growth Stock

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ต.ค. 67)

Tags: , , ,