โอกาสไทยสู่ผู้นำ “Data center” ขึ้นกับนโยบายจูงใจของภาครัฐ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ความต้องการบริการ Data center เติบโตตามปริมาณการใช้งานข้อมูลที่เติบโตด้วยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในยุคดิจิทัล โดยมูลค่าตลาดให้บริการ Data center ของโลก มีแนวโน้มขยายตัวราว 22%YOY ซึ่งเป็นการขยายตัวของบริการ Public cloud เป็นหลัก

เช่นเดียวกับตลาด Data center ของไทย โดย SCB EIC คาดว่า มูลค่าตลาด Data center ของไทยมีแนวโน้มเติบโตราว 24%YOY ในปี 2567 ในทิศทางเดียวกับเทรนด์โลก ตามการใช้งานเทคโนโลยีในภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้ นและการใช้งานข้อมูลของผู้บริโภคที่ยังเติบโต

โดยบริการ Public cloud ขยายตัวที่ราว 29%YOY จากปริมาณการใช้งานข้อมูลของผู้บริโภคที่ยังสูงขึ้นและการใช้เทคโนโลยีที่มากขึ้นขององค์กรขนาดใหญ่ SMEs และ Startups เช่น การใช้งานระบบบริหารจัดการอัตโนมัติ และการออกเอกสารต่างๆ ในรูปแบบบริการรายเดือน (Subscription model) ซึ่งเป็นซอฟแวร์สำเร็จรูปที่จัดเก็บข้อมูลไว้บนระบบ Cloud รวมถึงปริมาณการใช้งานข้อมูลของผู้บริโภคที่ยังเติบโต สะท้อนจากปริมาณการใช้งานข้อมูลรายเดือนต่อหมายเลขผ่านโทรศัพท์มือถือของไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงปี 2562-2566 จาก 10.35 GB ในไตรมาส 1/62 เป็น 33.70 GB ในไตรมาส 1/67 หรือคิดเป็น 27%CAGR

ขณะที่การให้บริการ Colocation ซึ่งเป็นบริการรับฝาก Server ที่ผู้ให้บริการจะจัดเตรียมพื้นที่สำหรับจัดวางอุปกรณ์พร้อมโครงข่ายการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยผู้เช่าจะจัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ เองนั้น คาดว่าจะเติบโตราว 16%YOY เติบโตได้ราว 16%YOY จากการเริ่มปรับใช้เทคโนโลยีในการทำงานของหลายองค์กร และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลจาก On-premise เป็นการใช้บริการ Colocation เพื่อลดเม็ดเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา

จากรายงาน The Next-Generation Cloud Strategy in Asia ที่ทาง Alibaba Cloud ร่วมกับ NielsenIQสำรวจความคิดเห็นของบริษัทในเอเชียกว่า 1,000 ราย เกี่ยวกับการลงทุนระบบ Cloud ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2565 พบว่า 95% ของบริษัทในไทยวางแผนเพิ่มการลงทุนด้าน Cloud ซึ่ง Private cloud เป็นระบบที่บริษัทในเอเชียส่วนใหญ่ให้ความสนใจสูง ตามด้วย Hybrid cloud ในรูปแบบ Customized cloud services ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจได้ดี อีกทั้งการขยาย Cloud region ของผู้ให้บริการต่างประเทศ ยังมีแนวโน้มเช่าใช้พื้นที่แบบ Colocation ในไทยเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานข้อมูลที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งในไทย และในพื้นที่อาเซียน เช่น Alibaba, Google และ Amazon Web Service (AWS) เป็นต้น

*Data center ไทยกับการก้าวสู่การเป็นผู้นำในอาเซียน

ปัจจุบัน สิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลาง Data center ของอาเซียน แต่ด้วยนโยบายจำกัดการก่อสร้างศูนย์ Data center แห่งใหม่ของภาครัฐ ทำให้การขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูลไม่ทันต่อความต้องการใช้งาน ผู้ให้บริการ Data center ในสิงคโปร์จึงเริ่มมองหาประเทศใกล้เคียง ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย เพื่อลงทุน Data center แห่งใหม่

ซึ่งการเลือกพื้นที่ตั้งศูนย์ Data center นอกจากจะพิจารณาด้านต้นทุนและโอกาสในการเติบโตของธุรกิจแล้ว ความสะดวกในการเดินทาง ความปลอดภัย ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐก็ถือเป็นปัจจัยที่ผู้ให้บริการให้ความสำคัญ ซึ่งไทย เป็นอีกหนึ่งประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายของสิงคโปร์ ด้วยจุดแข็งด้านความเร็วในการ Download ข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตประจำที่ (FBB) ที่สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์ ซื่งเป็นเครือข่ายหลักในการให้บริการ Data center

อีกทั้งตัวชี้วัดด้านความสะดวกในการเข้าไปประกอบธุรกิจในไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี จึงทำให้ผู้ให้บริการสิงคโปร์สนใจเข้ามาลงทุน Data center ในไทยเพิ่มขึ้น เช่น Singtel ที่ได้ร่วมมือกับ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) – บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือ เอไอเอส และ Evolution Data Centers ที่เป็นพันธมิตรกับกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา

แม้ว่าการลงทุน Data center ในไทยของผู้ให้บริการต่างประเทศจะขยายตัวขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี 2565 แต่การกระตุ้นให้เกิดการลงทุน Data center ในไทยมากขึ้น ภาครัฐอาจต้องพิจารณาสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม โดยหากพิจารณาในเชิงพื้นที่ให้บริการ Data center ในกลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว ไทยถือว่าอยู่ในอันดับ 4 รองจากสิงคโปร์ (ที่เป็นศูนย์กลาง Data center ในอาเซียน) มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งแม้ตลาด Data center ของไทยยังมีโอกาสเติบโตขึ้นได้อีกตามการใช้เทคโนโลยีที่มากขึ้น และภาครัฐเองก็มีนโยบายสนับสนุนให้ภาคธุรกิจใช้ Data Center หรือ Cloud Service ที่ตั้งภายในประเทศ ด้วยการยกเว้น VAT และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่นโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ให้แก่ผู้ลงทุน Data center ในไทยของภาครัฐในปัจจุบันยังอาจจูงใจไม่มากพอเมื่อเทียบกับหลายประเทศ

ทั้งนี้ การพิจารณาสิทธิประโยชน์และนโยบายเพิ่มเติมของภาครัฐ อาจเริ่มจาก

1. การขยายระยะเวลาการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การขยายระยะเวลาการใช้สิทธิยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์ที่จำเป็นและภาษีนิติบุคคลจาก 8 ปีเป็นมากกว่า 10 ปี เนื่องจากมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุน Data center สูงสุด 15 ปีและ 20 ปี ตามลำดับ

2. การให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับ Data center ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ อาทิ การปรับลดอากรแสตมป์สำหรับการโอน/เช่าที่ดิน ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษอย่าง EEC เช่นเดียวกับในมาเลเซีย

3. นโยบายเพิ่มเติมในการสร้างระบบนิเวศ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลที่สอดคล้องตามมาตรฐานสากล เช่น การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงการกำหนดให้ภาคธุรกิจในไทยจัดเก็บข้อมูลที่มีความอ่อนไหว และข้อมูลส่วนบุคคลใน Data center ที่ตั้งอยู่ในประเทศเท่านั้น ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้บริการ Data center ในประเทศและดึงดูดการลงทุนจากกลุ่มธุรกิจต่างชาติที่ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลด้วย

4. นโยบายด้านการพัฒนาทักษะบุคลากร STEM ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่แสดงถึงความพร้อมด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลของไทยในการรองรับการเติบโตของตลาด Data center ในระยะข้างหน้า

*Sustainability ประเด็นสำคัญที่ผู้ให้บริการ Data center ต้องใส่ใจ

การเติบโตของ Data center ส่งผลให้การใช้ไฟฟ้า และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น จึงทำให้ถูกจับตาในประเด็นด้าน Sustainability เนื่องจากลักษณะทางกายภาพของ Data center ที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในปริมาณสูง ทั้งจากอุปกรณ์ IT ระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก

โดย The International Energy Agency (IEA) ได้รายงานการใช้พลังงานไฟฟ้า ของ Data center ทั่วโลกในปี 2565 คิดเป็น 1.3% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด และปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี 2020 คิดเป็น 0.6% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งโลก จึงทำให้การบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าพร้อมกับการรักษาเสถียรภาพไฟฟ้าเพื่อรองรับช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูงสุด (Peak traffic) เป็นความท้าทายสำคัญของผู้ให้บริการ Data center

จะเห็นได้ว่า แม้ Data center ของไทยมีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะข้างหน้า แต่นโยบายของภาครัฐ ถือว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งในทุกมิติของการเติบโตตั้งแต่การดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ การผลักดันสู่ความยั่งยืน ตลอดจนการส่งเสริมให้โอกาสในการก้าวสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียนของไทยนั้น มีความเป็นไปได้มากขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.ค. 67)

Tags: , ,