EFORL นำเข้าชุด Rapid Test เพิ่มแบรนด์ Siemens พร้อมมุ่งหน้าขยายเครื่องมือแพทย์

นายปรีชา นันท์นฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) เปิดเผยกับ “อินโฟเควสท์” ว่า บริษัทเตรียมนำเข้าชุดตรวจโควิดแบบเร่งด่วน (Rapid Test) ของแบรนด์ชั้นนำระดับโลก Siemens ซึ่งจะทยอยนำเข้ามาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยสินค้าล็อตแรกจะเข้ามากลางเดือน ส.ค.64 ประมาณ 1 แสนชุด คาดว่าจะจำหน่ายราคาชุดละ 350 บาท

ปัจจุบัน บริษัทจำหน่ายชุดตรวจโควิดแบบเร่งด่วน (Rapid Test) ของแบรนด์อื่นอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ของสหรัฐฯ หรือ เกาหลี โดยมีช่องทางจำหน่ายโดยตรงให้กับทางโรงพยาบาลและศูนย์แล็บต่างๆ ซึ่งเป็นการใช้งานแบบ Professional Use และจำหน่ายผ่านดีลเลอร์ ร้านขายยา และออนไลน์ สำหรับการใช้งานแบบ Home Use

สำหรับแผนการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทจะเน้นสินค้าที่มีความต้องการสูงในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งมีหลายผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องช่วยหายใจแบบ Oxygen High Flow และมอนิเตอร์วัดสัญญาณชีพ เป็นต้น โดยในปัจจุบันมีคำสั่งซื้อในมือ (Backlog) รวม 500 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ในไตรมาส 3/64

ขณะเดียวกันยังคงเดินหน้าประมูลงานโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนอีกหลายโครงการอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะได้งานมูลค่ารวมทั้งหมด 1,000 ล้านบาท ส่งผลให้คาดว่ารายได้ในปีนี้จะแตะระดับ 2,000 ล้านบาทตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คิดเป็นสัดส่วนงานภาครัฐ 70% และงานภาคเอกชนและหน่วยงานอื่นๆ 30%

“เราเป็นผู้นำตลาดเครื่องช่วยหายใจ เครื่องช่วยหายใจแบบ Oxygen High Flow และมอนิเตอร์วัดสัญญาณชีพอยู่แล้ว นับเป็นสินค้าหลักของบริษัทนานเป็นสิบปี มาประจวบเหมาะในช่วงโควิด-19 นี้ ความต้องการสินค้าดังกล่าวสูงขึ้น ประกอบกับภาครัฐและภาคเอกชนก็สนับสนุนการเพิ่มเตียงและห้อง ICU มาตลอด โดยเรามองว่าความต้องการสินค้าประเภทนี้จะต่อเนื่องไปถึงปี 65 ขึ้นอยู่กับความเร็วของการทยอยฉีดวัคซีนให้กับประชาชน”

นายปรีชา กล่าว

นายปรีชา กล่าวว่า ส่วนธุรกิจด้านความงาม บริษัทตัดสินใจขายธุรกิจดังกล่าวออกไปทั้งหมด เพราะต้องการมุ่งเน้นธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญคือธุรกิจเครื่องมือแพทย์ โดยอาจจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าการแพทย์ด้านอื่นๆ เช่น ด้านทันตกรรม ด้านกระดูก เป็นต้น รวมไปถึงสินค้าทางด้าน Home Care ไม่ว่าจะเป็น เครื่องผลิตออกซิเจน เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว หรือ เครื่องให้อาหารผู้ป่วย เป็นต้น

“นโยบายจากนี้ที่เราวางไว้ เราจะมุ่งเน้นสินค้าที่เราชำนาญและทำมาหลายสิบปี ก็คือธุรกิจเครื่องมือแพทย์ อะไรที่เกี่ยวกับทางการแพทย์เราจะลงทุนเพิ่มเติมด้านนี้เป็นหลัก และในอนาคตเรายังคงมองหาสินค้าที่เป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ และ สินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่เข้ามาเสริม รวมไปถึงยังมองหาสินค้าที่มีราคาจับต้องได้มากขึ้น นอกจากนี้เราก็มีการมองหาพาร์ทเนอร์ที่เกี่ยวกับทางการแพทย์เพื่อมาทำงานร่วมกัน สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของเรามากขึ้นอีกด้วย”

นายปรีชากล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ส.ค. 64)

Tags: , , , , ,