ปีเตอร์ เดอบริน เจ้าหน้าที่โครงการอาวุโสด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) กล่าวกับรายการ “Squawk Box Asia” เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ว่า การประท้วงในสเปนจะขยายวงกว้างขึ้น หากเจ้าหน้าที่ยุโรปล้มเหลวในการแก้ไขผลกระทบด้านลบของการท่องเที่ยวมวลชนที่มีต่อชีวิตของประชาชน
“สถานการณ์ดังกล่าวกลายเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนอย่างมาก” นายเดอบรินกล่าว “การที่ภาคประชาสังคมเข้ามาและพยายามทำการเปลี่ยนแปลงนั้นสำคัญมาก เพราะท้ายที่สุดแล้ว เจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้รับเลือกจากประชาชน ดังนั้นพวกเขาต้องตอบสนองต่อสิ่งที่ประชาชนในเมืองของพวกเขาต้องการ”
นายเดอบรินได้ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ห้ามเรือสำราญขนาดใหญ่ในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ในปี 2564 โดยระบุว่า “เนื่องจากผู้คนออกมาประท้วงเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่มีเรือสำราญแล่นผ่านแกรนด์คาแนล (Grand Canal) อีกต่อไป”
ปัจจุบันเรือสำราญจอดเทียบท่าห่างจากเวนิสมากขึ้น ซึ่งช่วยรักษาความสมบูรณ์ทางโครงสร้างและสิ่งแวดล้อมของตัวเมือง
สำนักงานท่าเรือทะเลเอเดรียติกเหนือ (North Adriatic Sea Port Authority) ระบุว่า ผู้โดยสารทางเรือยังคงหลั่งไหลเข้าสู่ช่องทางแคบ ๆ นับพันคน โดยมีการคาดการณ์ว่า เวนิสจะดึงดูดผู้โดยสารเรือสำราญได้ประมาณ 540,000 คนในปีนี้ เพิ่มขึ้น 9% จากปี 2566
สำนักข่าวยูโรนิวส์ (Euronews) รายงานว่า เวนิสได้บังคับใช้ภาษีการท่องเที่ยว 5 ยูโร (5.45 ดอลลาร์) เพื่อพยายามลดจำนวนฝูงชนลงในช่วงที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในปีนี้ ซึ่งเป็นมาตรการที่ยังไม่ได้ผลจนถึงขณะนี้
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ผู้อยู่อาศัยในบาร์เซโลนาต้องเผชิญกับความท้าทายเนื่องจากความนิยมในเมืองของตนที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก เช่นเดียวกับเวนิส ซึ่งจากการสำรวจโดยสภาเทศบาลเมืองบาร์เซโลนาในปี 2566 พบว่า จำนวนประชาชนที่เชื่อว่าการท่องเที่ยวเป็นประโยชน์ต่อเมืองนี้นั้นลดลงทุกปี ในขณะที่ผู้ที่เห็นว่าเป็นอันตรายก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ค. 67)