นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) กล่าวว่า บริษัทได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้รุ่นอายุ 3 ปี และ 5 ปี แก่ผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำในประเทศ มูลค่ารวม 2 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 67 ซึ่งมีธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้
โดยหุ้นกู้ดังกล่าวมีความพิเศษที่นอกจากผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่เหมือนหุ้นกู้โดยทั่วไปแล้ว ยังมีส่วนส่งเสริมการขายของหุ้นกู้ โดยสามารถเลือกรับเป็นคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ที่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานตามโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) ที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) พัฒนาขึ้น หรือเลือกรับเป็นใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (I-REC) ซึ่งผ่านการรับรองตามมาตรฐานของ The International REC Standard Foundation (I-REC) หรือ International Tracking Standard Foundation (I-TRACK Foundation)
โดยผู้ลงทุนสามารถนำ Carbon Credit หรือใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียนดังกล่าวที่ได้รับจากบีซีพีจี ซึ่งผลิตจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือสำหรับการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Offsetting) เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปซื้อขายในตลาดรอง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาสภาพคล่องของตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยอีกด้วย
ขณะที่โลกกำลังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น บีซีพีจีเองก็มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการบูรณการความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับนวัตกรรมทางการเงิน ธุรกรรมในครั้งนี้จึงเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะ “สร้างโลกสีเขียวที่ยั่งยืน” ตามวิสัยทัศน์ของบริษัท นอกจากนี้ บีซีพีจียังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมจัดตั้ง Carbon Markets Club เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ คาร์บอนเครดิตและมีแพลทฟอร์มที่สามารถคำนวณการปล่อยปริมาณ Carbon และซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่มีอุดมการณ์เดียวกันในการแก้ปัญหาโลกร้อน สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตกันได้ตามความสมัครใจ
การให้คาร์บอนเครดิตแก่ผู้ลงทุนในครั้งนี้ ยังเป็นการสนับสนุนให้ผู้ลงทุนชั้นนำของไทยเข้าใจเรื่องการซื้อขายคาร์บอนเครคิตในตลาดรองเพิ่มมากขึ้น ในปัจจุบัน บีซีพีจีได้บรรลุเป้าหมายหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในประเทศไทยตั้งแต่ในปี 65 และตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 93
นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ธนาคารมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำด้าน ESG ของกลุ่มธนาคารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายหลักสำคัญ อาทิ การเป็นธนาคารที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ จากการดำเนินงานของธนาคารเป็นศูนย์ภายใน ปี 2573 รวมถึงการให้บริการที่มากกว่าบริการทางการเงิน เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย
โดยที่ผ่านมาธนาคารได้ร่วมเสริมสร้างความยั่งยืนผ่านการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ตลาดทุนที่ร่วมส่งเสริมการลดการปล่อย GHG ของประเทศไทยมาโดยตลอดทั้งในรูปแบบของการออกผลิตภัณฑ์การลงทุน ผลิตภัณฑ์การบริหารความเสี่ยงและบริการระดมทุนผ่านหุ้นกู้
สำหรับการเข้าร่วมเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและเป็นผู้ลงทุนหลัก (Cornerstone Investor) ของหุ้นกู้บีซีพีจีครั้งนี้ ได้ทำให้ธนาคารได้ก้าวไปสู่เป้าหมายสำคัญด้านความยั่งยืนอีกขั้น โดยสามารถเชิญชวนให้ผู้ลงทุนสถาบันต่างๆ เข้ามาเรียนรู้กระบวนการเปิดบัญชีคาร์บอนเครดิตกับทาง อบก. แบ่งปันความรู้ทางด้าน ESG รวมถึงการจัดการด้านการบัญชีและภาษีที่เกี่ยวข้องคาร์บอนเครดิตอีกด้วย ทั้งนี้ สำหรับคาร์บอนเครดิตที่ทางธนาคารได้รับธุรกรรมดังกล่าว จะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Offsetting) ของธนาคารต่อไป
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า กบข. ให้ความสำคัญกับการบูรณาการปัจจัยด้าน ESG เข้ามาในการดำเนินงานขององค์กรมาโดยตลอด และ กบข. ให้การสนับสนุนผู้ออกตราสารหนี้ ESG และนวัตกรรมใหม่ๆในตลาดการเงินเสมอมา กบข. มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการนำธุรกรรมการลงทุนในตลาดทุนและการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตมารวมกันไว้เป็นโครงการนวัตกรรมทางการเงินด้วยกันเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดย กบข. ยังได้นำคาร์บอนเครดิตที่ได้รับมาไปขายต่อในตลาดรองซึ่งเป็นการส่งเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยอีกด้วย
นายเสี่ยวปอ หลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) กล่าวว่า ธุรกรรมนี้ถือเป็นนวัตกรรมของตลาดตราสารหนี้และตลาดคาร์บอนเครดิต ไอซีบีซี (ไทย) พร้อมสนับสนุนการพัฒนาของตลาดทุนและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ ESG อย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยทั้งบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ และผู้ลงทุนต่างต้องการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม
ธุรกรรมครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาตลาดทุนให้สอดคล้องกับเรื่อง ESG เพื่อให้บริษัทและผู้ลงทุนในวงกว้างรับรู้และให้ความสนใจในธุรกรรมการเงินแบบยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิตเล็งเห็นถึงความสำคัญที่จะนำแนวคิดการพัฒนามาผสานกับเรื่องของการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืน ทั้งประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (ESG) ในทุกกระบวนการ เพื่อส่งมอบคุณค่าระยะยาวแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยธุรกรรมการลงทุนในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานของบริษัทในการบูรณาการแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุนของบริษัท และเป็นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยอีกทางหนึ่งอีกด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ค. 67)
Tags: BCPG, นิวัติ อดิเรก, หุ้นกู้