CONSENSUS: ถึงเวลาเก็บ TU เล็งกำไร Q2/67 โตแจ่ม ลุ้นผู้บริหารปรับเป้าหลังแจ้งงบ

บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ไตรมาส 2/67 คาดกำไรโตทั้ง YoY และ QoQ ได้แรงหนุนรายได้ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโต และไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจาก Red Lobsters อีกแล้ว ส่วนช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้สูงกว่าครึ่งแรก รับผลดีงการปรับราคาสินค้าหลังราคาปลาทูน่าเริ่มขยับขึ้น รวมทั้งมาร์จิ้นจะเพิ่มขึ้นจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่ยังส่งออกได้ดี

นอกจากนี้ ผู้บริหารอาจปรับเพิ่มประมาณการทั้งปีอีกครั้งภายหลังการประกาศงบไตรมาส 2/67 และงบงวดครึ่งปีแรกในเดือนส.ค.นี้ ขณะที่การประกาศขายหุ้นที่ TU ซื้อคืนมาจำนวน 200 ล้านหุ้น มองไม่น่าจะมีการขายออกมา แต่คงนำไปลดทุนจดทะเบียน หนุนกำไรต่อหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้

ราคาหุ้น TU ช่วงบ่ายวันนี้อยู่ที่ 14.80 บาท

นางสาวสุรีย์พร ทีวะสุเวทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดว่ากำไรปกติของ TU ในไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท (+50% QoQ , +6% YoY) โดยรายได้รวมเติบโตทั้งธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (Ambient seafood) และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง โดยไตรมาส 2/67 ดีมานด์หลักมาจากสหรัฐส่งผลให้ปริมาณการส่งออกดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/67 ค่าใช้จ่ายปรับตัวสูงขึ้นทั้ง QoQ และ YoY จากค่าใช้จ่ายการตลาด รวมทั้งค่าใช้จ่ายการขนส่งที่เพิ่มขึ้นจากสินค้าบางส่วนที่ขายแบบ CIF (Cost, Insurance & Freight) ซึ่งได้รับผลกระทบจากค่าระวางเรือที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการขนส่งไปยังทวีปยุโรปที่อาจจะติดปัญหาการขนส่งที่ล่าช้าและค่าขนส่งที่สูงขึ้นด้วย

คงประมาณการกำไรปกติที่ 67 ที่ 5 พันล้านบาท โดยคาดว่าปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไรหลังจากปีที่แล้ว TU ขาดทุนจากการด้อยค่า Red Lobster คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 17.30 บาท อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจมีการปรับเป้าหมายปี 67 เพิ่มขึ้นหลังจากภาพรวมผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกเติบโตดีกว่าเป้า

สำหรับประเด็นการจำหน่ายหุ้นซื้อคืนที่มีการแจ้งต่อตลาดฯ มองว่าน่าจะไม่มีการขายออกมา เป็นการลดทุนจดทะเบียนไม่มีประเด็นที่กดดันราคาหุ้น

ขณะที่ บล.พาย มีมุมมองต่อ TU ว่าแนวโน้มไตรมาส 2/67 ยังคงเติบโตได้โดยจะมีกำไรสุทธิ 1,287 ล้านบาท เติบโตทั้ง YoY และ QoQ ปัจจัยบวกจากการเติบโตของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่ธุรกิจอาหารแช่แข็งยังคงลดลงจากปีก่อนจากผลกระทบของการปรับขนาดสินค้า แต่หากเทียบกับไตรมาส 1/67 จะเติบโตอย่างมาก

นอกจากนี้ ส่วนแบ่งกำไรบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ 167 ล้านบาท พลิกจากการรับรู้ที่ขาดทุน 137 ล้านบาทในไตรมาส 2/66 หลังไม่ต้องรวมส่วนแบ่งจาก Red Lobster เข้ามา

ขณะที่ภาพรวมครึ่งปีหลังคาดว่ารายได้จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากผลของการปรับราคาสินค้าหลังจากราคาปลาทูน่าเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงผลกระทบจากนโยบายการปรับขนาดสินค้าในธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งได้หมดแล้ว ด้านธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตได้ดีจากการออกสินค้าใหม่และมีคำสั่งซื้อล่าช้ามาจากไตรมาส 2/67 โดยผู้บริหารอาจมีการปรับประมาณการทั้งปีอีกครั้งภายหลังการประกาศงบเดือนส.ค.นี้

เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 67 ที่ 5,553 ล้านบาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 18.1 บาท ด้วยปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการยังคงเติบโตได้ดีจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่การประกาศขายหุ้นที่ TU ซื้อคืน จำนวน 200 ล้านหุ้น มองว่าเป็นการทำตามกฎตลาดฯ และมองว่า TU จะไม่มีการขายในตลาดแต่อย่างใด ซึ่งจะทำการลดทุนลงและทำให้กำไรต่อหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้

ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์คาดกำไรสุทธิ TU ไตรมาส 2/67 ที่ 1,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ จากอัตราทำกำไรที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธุรกิจอาหารแปรรูปและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง QoQ โดยในไตรมาสนี้คาดบันทึกขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน 150 ล้านบาท โดยหากไม่รวมรายการดังกล่าวคาดกำไรหลักจะ -2%YoY และ +41%QoQ จากคาดรายได้รวมเพิ่มขึ้น +3%YoY และ 5%QoQ จากธุรกิจเกือบทุกกลุ่มที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งที่ลดลง

เราคาดผลประกอบการ ไตรมาส 3/67 ดีขึ้น YoY และ QoQ ต่อเนื่องจากดีมาน์ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก เรายังคงประมาณการเดิมคาดกำไรปกติปี 67 มาอยู่ที่ 5,810 ล้านบาท (+23%YoY) จากการไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจาก Red Lobster (RL) แล้ว และคาดกำไรสุทธิปี 68 อยู่ที่ 6,545 ล้านบาท (+13%YoY) ตามลำดับ แนวโน้มราคาปลาทูน่าที่ลดลงส่งผลต่ออัตรามาร์จิ้นธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น และส่งผลธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (Ambient seafood) มีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น

สำหรับธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งคาดยังลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและการปรับลดขนาดธุรกิจในสหรัฐฯ เราคาดอัตราทำกำไรจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่คาดจะกลับมาเติบโตมีอัตรามาร์จิ้นเพิ่มขึ้น สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดใกล้เคียงเดิม และบริษัทจะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ปีละ 7% จากการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี BOI และไม่มีเครดิตภาษีเงินได้จากธุรกิจในต่างประเทศแล้ว

เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากคาดผลประกอบการเริ่มกลับมาปกติและการไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจากธุรกิจ Red Lobster (RL) แล้ว รวมถึงสถานการณ์ปัจจัยลบต่างๆ เริ่มคลี่คลาย มูลค่าที่เหมาะสมที่ 17.5 บาท อ้างอิง historical PE forward ย้อนหลัง 7 ปี ที่ 14X โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี PER24F ที่ 11.8X และคาด Dividend Yield 24F ที่ 4.8% สถานะการเงินแข็งแกร่งคาด Net Debt/Equity 24F อยู่ที่ 0.6X

ส่วน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดว่ากำไรปกติของ TU ในไตรมาส 2/67 จะอยู่ที่ 1.17 พันล้านบาท (+13% YoY, +6% QoQ) คาดรายได้จะเพิ่มขึ้น 4% YoY และ 7% QoQ เป็น 3.54 หมื่นล้านบาท มาจากการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการดูแลสัตว์เลี้ยง จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในสหรัฐและ EU ยกเว้นธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งคาดว่ายอดขายจะลดลง 3% YoY แต่จะเพิ่มขึ้น QoQ เพราะกลยุทธ์การกำหนดขนาดที่เหมาะสม (right-sizing strategy) และอุปสงค์ที่อ่อนแอในสหรัฐ เราคาดว่า GPM จะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ เป็น 17.9% เนื่องจากอัตรากำไรของธุรกิจการดูแลสัตว์เลี้ยง และ อาหารทะเลแปรรูปเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายจะเพิ่มขึ้น 0.9ppt YoY และ ทรงตัว QoQ อยู่ที่ 12.6% เพราะบริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านการตลาด และการบริหารเพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ ๆ ดังนั้น เราจึงคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานของ TU จะเพิ่มขึ้น 6% YoY และ 24% QoQ เป็น 2.08 พันล้านบาท

TU จะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจาก Red Lobster อีกในไตรมาสนี้ นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ Avanti Feed Limited จะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโต คาดว่าส่วนแบ่งกำไรจาก JVs และบริษัทร่วมจะอยู่ที่ 192 ล้านบาท (จากที่ขาดทุน 137 ล้านบาทในไตรมาส 2/66, +21% QoQ) อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า TU จะมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 250 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ เพราะไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก Red Lobster ได้อีก

เรายังคงมองว่าผลการดำเนินงานของ TU จะดีขึ้นต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 67 เพราะ GPM ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป เพราะราคาทูน่าเริ่มฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้ เราได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 67 และ 68 ขึ้นอีก 2% เป็น 6.15 พันล้านบาท และ 7.11 พันล้านบาทตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึงกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นจากธุรกิจดูแลสัตว์เลี้ยง ซึ่งจะถูกหักล้างไปบางส่วนด้วยค่าใช้จ่าย SG&A ที่เพิ่มขึ้น คงคำแนะนำ”ซื้อ” ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 67 เป็น 19.70 บาท จากเดิม 19.30 บาท อิง PER ที่ 15.0x

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.ค. 67)

Tags: , , , , ,