จีนมีแนวโน้มจะดำเนินมาตรการตอบโต้ที่ค่อนข้างจำกัดและกำหนดเป้าหมายต่อสหภาพยุโรป (EU) เพื่อตอบโต้ต่อการปรับขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่นำเข้าจากจีน โดยจีนกังวลว่าการตอบโต้ที่รุนแรงกว่านั้นอาจส่งผลกระทบเชิงลบตามมา
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า EU เตรียมเรียกเก็บภาษีรถยนต์ของจีนสูงถึง 48% โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนหน้า ซึ่งสอดคล้องกับสหรัฐ ตุรกี และประเทศอื่น ๆ ในการดำเนินการเพื่อจำกัดการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากจีน
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ของจีนและหอการค้าจีนใน EU ได้กล่าวประณามการตัดสินใจดังกล่าว หลังจากการประกาศปรับขึ้นภาษีเมื่อวันพุธ (12 มิ.ย.)
อย่างไรก็ดี แม้การดำเนินมาตรการตอบโต้ของจีนอาจช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดการกีดกันทางการค้าทั่วโลกได้ แต่จีนอาจเสี่ยงอันตราย หากดำเนินมาตรการตอบโต้ที่รุนแรงเกินไป และจะกระตุ้นให้เกิดแนวร่วมข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในการต่อต้านจีนมากขึ้น ซึ่งอาจทำลายเป้าหมายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในการส่งเสริมความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ (strategic autonomy) ในยุโรป
“หากจีนตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีเชิงรุก ก็อาจเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดสงครามการค้า” นายโจ เพสเซล นักวิเคราะห์เศรษฐกิจของบริษัทวิจัยทริเวียม ไชน่า (Trivium China) พร้อมเสริมว่า จีนต้องการอย่างมากที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น
เมริกส์ (Merics) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยในกรุงเบอร์ลินที่เชี่ยวชาญด้านจีนคาดการณ์ว่า มาตรการตอบโต้ของจีนจะมุ่งเป้าไปที่สินค้าเกษตร เช่น ชีสและเนื้อหมู โดยหลังจากที่ EU เริ่มสอบสวนการต่อต้านการทุ่มตลาดสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า จีนก็ได้เริ่มตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุราของยุโรป เช่น บรั่นดี โดยฝรั่งเศสซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้ EU ตรวจสอบรถยนต์ไฟฟ้าของจีนนั้น เป็นผู้ส่งออกบรั่นดีรายใหญ่
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 มิ.ย. 67)
Tags: EU, EV, จีน, ภาษีนำเข้า, ภาษีรถยนต์ไฟฟ้า, รถยนต์ไฟฟ้า, สี จิ้นผิง, อีวี