MAGURO ปิดเทรดวันแรก 19.40 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ +22.01% จากราคา IPO 15.90 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,809.36 ล้านบาท จากราคาเปิด 23.00 บาท ราคาสูงสุด 23.70 บาท ราคาต่ำสุด 18.50 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บมจ.มากุโระ กรุ๊ป (MAGURO) เป็นผู้ประกอบการในธุรกิจร้านอาหารที่มีการแข่งขันสูง และมีผู้ประกอบการหลายรายในตลาด รวมถึงยังเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจของผู้บริโภค ทั้งในด้านคุณภาพของวัตถุดิบ รสชาติ การให้บริการ และความคุ้มค่า ซึ่งเป็น 1 ในความท้าทายของธุรกิจร้านอาหาร
อย่างไรก็ตาม บริษัทระบุว่าให้ความสำคัญคุณภาพ การตอบรับความต้องการ และความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ภายใต้ปรัชญาของการให้มากกว่าที่ขอ (Give More) ผ่านการพัฒนาคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้การปรับปรุงรสชาติอาหารที่ถูกปากกับลูกค้า และเมนูใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้ขยายแบรนด์ร้านอาหารอีก 2 แบรนด์ ได้แก่ ซัมติง ทูเก็ทเตอร์ (SSAMTHING TOGETHER) และฮิโตริ ชาบู(HITORI SHABU) ทำให้บริษัทสามารถขยายไปสู่ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ คือ กลุ่มนักศึกษาได้
รายได้ปี 67 คาดว่าจะเติบโตก้าวกระโดด จากการเปิดสาขาใหม่ของทั้งแบรนด์เดิมและแบรนด์ใหม่ โดยมองว่าแบรนด์เปิดใหม่ทั้ง 2 แบรนด์ยังมีศักยภาพในการเติบโต และมีพื้นที่ในการขยายสาขาได้อีก รวมทั้งการเติบโตยอดขายสาขาเดิมและยอดใช้จ่ายของแบรนด์ใหม่ที่มีการเติบโตดี ซึ่งหากพิจารณาด้านการเติบโตของรายได้จะพบว่ารายได้ 3 เดือนแรกของปีนี้ของแบรนด์ ฮิโตริ ชาบู เพิ่มขึ้นมากที่สุด (+153.97% YoY) เป็นผลมาจากการขยายสาขากว่า 4 สาขา ซึ่งการกระจายสาขาเป็นผลดีต่อการขยายตัวของกำไรในอนาคต
ขณะที่คาดว่ากำไรในปี 67 ขยายตัวเล็กน้อย ตามการเติบโตของรายได้ ขณะที่แบรนด์ใหม่ที่ได้รับความนิยมและมีการเติบโตของรายได้จะช่วยหนุนกำไร เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า แต่การเพิ่มขึ้นของต้นทุนขายจากขยายสาขาจะกดดันกำไร อย่างไรก็ตามสาขาของบริษัทไม่ได้กระจุกตัวอยู่เพียงแค่ในศูนย์การค้า ทำให้ต้นทุนการขยายสาขาของบริษัทไม่ได้สูงมาก โดยสาขาใหม่ของแบรนด์เดิมและแบรนด์ใหม่ที่จะเปิดให้บริการภายในปี 67 จำนวนทั้งหมด 11 สาขา
อย่างไรก็ตาม หากมองที่ราคา IPO ถือว่ามีพรีเมียมแล้ว จากการประเมินมูลค่าเบื้องต้น อิงจาก PER เฉลี่ยของผู้ประกอบการในธุรกิจที่ใกล้เคียงกันทั้งใน SET และ mai ที่ 21.7 เท่า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 มิ.ย. 67)
Tags: MAGURO, มากุโระ กรุ๊ป, หุ้นไทย