โรเดียม กรุ๊ป (Rhodium Group) บริษัทวิจัยในนิวยอร์ก เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์ฉบับใหม่ ระบุว่า สหภาพยุโรป (EU) จำเป็นต้องเรียกเก็บภาษีมากถึงประมาณ 50% เพื่อสกัดไม่ให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ของจีนทะลักเข้า EU
สำนักข่าวไฟแนนเชียล ไทม์ส รายงานว่า EU ใกล้จะสรุปการสอบสวนการต่อต้านการอุดหนุนรถ EV ของจีนภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ แต่นักวิจัยของโรเดียม กรุ๊ป ระบุว่า บทลงโทษของ EU มีแนวโน้มจะไม่เพียงพอที่จะป้องกันการทะลักเข้าของรถ EV จีน
“เราคาดการณ์ว่าคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) จะเรียกเก็บภาษี 15-30% อย่างไรก็ตาม แม้จะเรียกเก็บภาษีที่กรอบบนสุด แต่บริษัทผลิตรถยนต์จีนบางรายก็ยังสามารถสร้างกำไรได้อย่างสบาย ๆ จากการส่งออกรถ EV ไปยังยุโรปเพราะบริษัทเหล่านี้มีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนอย่างมาก” รายงานของโรเดียม กรุ๊ป ระบุ
“ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเรียกเก็บภาษีที่กรอบ 40-50% และสูงยิ่งขึ้นสำหรับผู้ผลิตที่ทำธุรกิจในแนวดิ่ง เช่น บีวายดี (BYD) เพื่อไม่ให้ผู้ส่งออกรถ EV จีนสนใจตลาดยุโรป”
โรเดียม กรุ๊ป ยกตัวอย่างว่า รถรุ่นซีล ยู (Seal U) ของบีวายดีจำหน่ายในราคา 20,500 ยูโรในจีน และ 42,000 ยูโรใน EU ส่งผลให้มีกำไร 1,300 ยูโรในจีน และ 14,300 ยูโรในยุโรป ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจสำคัญที่หนุนให้บริษัทส่งออกรถ EV ไปยังยุโรป
ปัจจุบันการนำเข้ารถ EV สู่ยุโรปต้องจ่ายภาษีให้ EU ที่ 10% ซึ่งคิดเป็นประมาณ 2,100 ยูโรต่อรถ 1 คัน
“ข้อมูลการคำนวณของเราระบุว่า การเก็บภาษี 30% ยังคงทำให้บริษัทดังกล่าวได้กำไรจากการขายรถ EV ในยุโรปมากกว่าในจีนถึง 15% (4,700 ยูโร) ซึ่งหมายความว่าการส่งออกรถไปยังยุโรปยังคงเป็นเรื่องน่าสนใจมาก”
โรเดียม กรุ๊ป ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 เม.ย. 67)
Tags: EU, EV, จีน, ภาษี, รถยนต์พลังงานไฟฟ้า, สหภาพยุโรป