คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดนายศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 สมัยดำรงตำแหน่งรมช.เกษตรและสหกรณ์ กรณีครอบครองที่ดินของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งได้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย ตาม พ.ร.บ.การประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ตามมาตรา 87 ต่อไป
สำหรับคดีดังกล่าว นายนิวัติไชย เกษมมงคล โฆษกป.ป.ช. กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ดำเนินการไต่สวนกรณีกล่าวหานายศุภชัย ยึดถือครอบครองและเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน น.ส.2 หรือใบจอง ในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม โดยการซื้อที่ดินไม่มีหลักฐานใบจองที่ดิน จำนวน 40 แปลง เนื้อที่ 220 ไร่
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า นายศุภชัย ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส.นครพนม เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 51 กรณีเข้ารับตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 52 และกรณีเข้ารับตำแหน่งส.ส.นครพนม เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 62 โดยแจ้งว่าครอบครองที่ดินประเภทใบจอง (น.ส. 2) ในท้องที่ ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม จำนวน 40 แปลง เนื้อที่รวม 220 ไร่
จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อปี 2532 – 2534 นายศุภชัย ซึ่งเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการจัดสรรที่ดิน และเป็นผู้ไม่ได้รับการจัดสรรที่ดินและใบจองในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย ได้ซื้อที่ดินโดยทำสัญญาซื้อขาย และสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน กับประชาชนผู้ได้รับจัดสรรที่ดินและได้รับใบจอง (น.ส. 2) ให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินชั่วคราวในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย จำนวน 40 แปลง เนื้อที่รวม 220 ไร่ ทั้งที่ที่ดินดังกล่าว ไม่สามารถโอนหรือซื้อขายเปลี่ยนมือได้ เว้นแต่ตกทอดโดยมรดก
หลังจากที่มีการส่งมอบใบจอง และการครอบครองที่ดินให้นายศุภชัยแล้ว นายศุภชัยได้เข้าทำประโยชน์ โดยปลูกต้นยางพาราเต็มพื้นที่ต่อเนื่องเรื่อยมา แม้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม จะมีคำสั่งให้ผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินและใบจองเดิมสิ้นสิทธิในที่ดิน และออกจากที่ดินและจำหน่ายสิทธิใบจอง ตามมาตรา 32 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 56, 5 ก.ย. 65 และ 22 ก.ย. 65
การที่นายศุภชัย ซึ่งดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ สส.นครพนม และยังดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 มีหนังสือเมื่อวันที่ 11 ก.ค. 66 และวันที่ 12 ก.ค. 66 ขอสละสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงที่ผู้ว่าฯ นครพนม ได้มีคำสั่งจำหน่ายใบจองที่ดินดังกล่าว จึงไม่มีผลให้การยึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินประเภทใบจอง (น.ส. 2) ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย โดยการซื้อที่ดินและไม่มีหลักฐานใบจองที่ดิน (น.ส. 2) รวมทั้งไม่มีคุณสมบัติในการที่จะได้ที่ดิน ตามระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน ลงวันที่ 24 ส.ค. 2498 ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายศุภชัย โพธิ์สุ ไม่เป็นความผิดแต่อย่างใด
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้ การกระทำของนายศุภชัย เป็นการครอบครองที่ดินของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม และส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ของรัฐ ทั้งยังเป็นการกีดกันผู้ที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง หรือมีอยู่แล้วแต่เป็นจำนวนน้อยไม่พอเลี้ยงชีพ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ข้อ 7 และข้อ 17 ประกอบข้อ 3 และข้อ 27 และข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ข้อ 9 และข้อ 10
“ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกา เพื่อวินิจฉัยตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 ต่อไป”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 เม.ย. 67)
Tags: การเมือง, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ, ที่ดิน, ป.ป.ช., ศาลฎีกา, ศุภชัย โพธิ์สุ, สภาผู้แทนราษฎร