บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) วางงบลงทุน Merger & Partnership (M&P) 10,000 ล้านบาท ในธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโต เช่น ธุรกิจบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ฯลฯ เพื่อรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคการผลิตและส่งออก จากงบลงทุนรวมปีนี้ 15,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาดีลที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ภาคการผลิต การส่งออก การท่องเที่ยวของไทยที่ดี ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น โดยธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรมียอดขายเติบโตทุกกลุ่มสินค้า และเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของบรรจุภัณฑ์สินค้าคงทน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง
ขณะที่ธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการในประเทศและการส่งออกในบางพื้นที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียใต้ ส่วนธุรกิจเยื่อและกระดาษ มียอดขายบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้นจากปัจจัยการท่องเที่ยวฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ความต้องการบรรจุภัณฑ์บางส่วนได้รับผลกระทบจากวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ของประเทศจีนและประเทศเวียดนาม และอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ชะลอตัว รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบมีแนวโน้มค่อย ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้น ต้นทุนด้านพลังงานอยู่ในระดับทรงตัว
ขณะที่ค่าขนส่งปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและเริ่มลดลงในช่วงครึ่งหลังของไตรมาส SCGP จึงได้มุ่งเน้นสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ด้วยการปรับพอร์ตสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างรอบคอบเพื่อรักษาห่วงโซ่อุปทานเชิงกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพ
ผลงานไตรมาสที่ 1/67 SCGP มีรายได้จากการขาย 33,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นทั้งสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ มี EBITDA 5,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
และกำไรสำหรับงวด 1,725 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการดำเนินงานตามกลยุทธ์การเติบโต การจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่คุณค่า ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนด้วยการนำ Machine Learning และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาใช้ในกระบวนการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ และการบริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพในภูมิภาคด้วยเครือข่ายจัดหาวัตถุดิบที่ครอบคลุมในไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รวม 155 แห่ง เพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น
สำหรับการเติบโตผ่านการขยายกำลังการผลิต ในเดือน มี.ค.SCGP ประสบความสำเร็จในการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกในจังหวัดสมุทรสาครและสมุทรปราการ โดยมีกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม 75,000 ตันต่อปี คิดเป็น 9% ของกำลังการผลิตเดิมในประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีการผลิตและการพิมพ์ที่ทันสมัย เช่น ระบบหุ่นยนต์ (Robotic) ระบบการทำงานอัตโนมัติ (Automation) และแอปพลิเคชันสำหรับการพิมพ์ ฐานการผลิตแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ใกล้กับฐานการผลิตสินค้าแช่แข็งส่งออก ทำให้สามารถรองรับและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เพิ่มขึ้น และช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านต้นทุนค่าขนส่ง
SCGP ยังมุ่งพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และวางกลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อรับมือต้นทุนวัตถุดิบและราคาพลังงานที่ผันผวน และการนำ Machine Learning และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ขยายใช้ในกระบวนการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่โรงงานในประเทศอินโดนีเซียและประเทศเวียดนามเพิ่มเติม รวมถึงมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 93 เพื่อร่วมลดคาร์บอนตามกรอบแนวคิด ESG
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 เม.ย. 67)
Tags: SCGP, วิชาญ จิตร์ภักดี, หุ้นไทย, เอสซีจี แพคเกจจิ้ง