นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันว่า กลไกการจัดหาวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข เป็นไปอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้และไม่มีการทุจริตโดยเด็ดขาด แต่โดยหลักการในการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนไม่ว่ารายใดก็ตามต้องไม่นำเอาสัญญาที่เจรจากันมาเปิดเผย เพราะมีผลทั้งเรื่องราคาและคุณสมบัติ รวมทั้งหากเปิดเผยการเจรจาทุกครั้งจะเกิดผลเสียและผู้ผลิตจะไม่เจรจากับไทย
การนำผลการเจรจาเผยแพร่ออกไปมีหลายกรณีส่งผลร้าย เช่น กรณีที่มีการแพร่ระบาดและขอให้ทางแอสตราเซนเนกาไปจัดหาวัคซีนจากแหล่งผลิตอื่นมาให้ก่อน เนื่องจากไทยพบการแพร่ระบาดในระลอก 2 ช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.63 ทำให้รอไม่ได้ ซึ่งทางแอสตราเซนเนก้าก็ได้พยายามไปตัดล็อตวัคซีนจากยุโรป แต่เมื่อมีข่าวนี้ออกไปทำให้ทางยุโรปสั่งห้ามโรงงานผลิตในอิตาลีส่งวัคซีนให้ไทยทันที ดังนั้น จึงจำเป็นต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้สูงสุด
ทั้งนี้ นพ.ศุภกิจ ชี้แจงว่า กลไกที่กระทรวงใช้ดำเนินการมี 2 ส่วน คือ 1.กลไกตามกฏหมาย ตาม พ.ร.บ.วัคซีน มีคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารสถาบันวัคซีน และคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ กลไกนี้เกี่ยวข้องกับการจัดหาวัคซีน 2.กลไกทางบริหาร มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด โดยมีปลัดสาธารณสุขเป็นประธาน และผู้แทนส่วนต่างๆ ทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมควบคุมโรค สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพ องค์การเภสัชกรรม ซึ่งมีการตั้งคณะทำงานอีก 2 ชุดไปเจรจากับแอสตราเซนเนก้า และอีกคณะไปเจรจากับโคแวกซ์ ซึ่งขณะนั้นเรายังใช้เป็นช่องทางหนึ่งในการจัดวัคซีน และขณะนี้ยังมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการตั้งคณะกรรมการจัดหาวัคซีนทางเลือกที่มี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร อดีต รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน
“ผมเรียนประชาชนว่า วัคซีนไม่ใช่ของทั่วไปที่จะจัดหาได้โดยง่าย แล้วที่เราเห็นปัจจุบัน ตลาดเป็นของผู้ขาย ผู้ขายมีสิทธิกำหนดเรื่องราวต่างๆ การผลิตไม่เพียงพอ แม้กระทั้งโคแวกซ์ที่มีคนบอกว่าทำไมเราถึงไม่เข้า วันนี้ซัพพลายวัคซีนได้ไม่มากตามที่วางแผนไว้ คือพลาดเป้าค่อนข้างเยอะ”นพ.ศุภกิจ กล่าว
นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วและการที่เชื้อโควิดกลายพันธุ์ ทำให้สิ่งที่วางแผนต้องปรับปรุงเปลี่ยน และเจรจากับหลายฝ่ายอยู่ตลอดเวลา พร้อมยืนยันว่ากลไกของภาครัฐมีความเข้มแข็งมากพอที่จะดำเนินการจัดหาวัคซีนให้กับคนไทยมากที่สุดเท่าที่เป็นไป และคิดว่าการฉีดวัคซีนในประเทศไม่ได้น้อยหน้าประเทศอื่นๆมากนัก และเป้าหมายการจัดหาวัคซีนในปี 64 ให้ได้ 100 ล้านโดสยังมีความเป็นไปได้
ด้านนพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ทางกรมควบคุมโรคมีการจัดทีมเจรจากับบริษัทผู้ผลิตวัคซีน ซึ่งจะมีพูดคุยเรื่องข้อมูลประสิทธิภาพของวัคซีน ราคา ความเหมาะสมการใช้งานในประเทศ และผลข้างเคียง ซึ่งเรื่องการลงนามในเอกสารที่มีข้อมูลที่เป็นความลับ ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และต้องส่งให้สำนักอัยการสูงสุดตรวจสอบร่วมด้วย และจะมีข้อตกลงที่ต้องดำเนินการร่วมกัน และขั้นตอนสุดท้าย คือ สัญญาการสั่งซื้อที่ต้องเกิดประโยชน์กับประเทศไทยให้มากที่สุด อย่างเช่น กรณีของวัคซีนไฟเซอร์ที่มีการตกลงกันจะส่งมอบวัคซีนในช่วงไตรมาส 4/64 แม้ไทยอยากได้วัคซีนเร็วกว่านั้น แต่ก็ไม่สามารถทำได้ตามที่เราต้องการทั้งหมด
นอกจากนี้ นพ.โสภณ ได้ชี้แจง กรณีเกิดเหตุการณ์ผู้หญิง อายุ 39 ปีเสียชีวิตภายหลังได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 2 ที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวานนี้ ซึ่งผู้เสียชีวิตรับวัคซีนเข็มแรกเป็นซิโนแวค ส่วนเข็มที่ 2 เป็นแอสตราเซนเนกาเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้ทางแพทย์อยู่ระหว่างการตรวจชันสูตรพลิกศพที่ รพ.พระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี คาดว่าผลจะออกมาโดยเร็ว จึงยังไม่สรุปว่าการเสียชีวิตเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม นพ.โสภณ กล่าวว่า วัคซีนทั้ง 2 ตัวได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความปลอดภัยสูง หลังจากฉีดมาแล้ว 10 ล้านโดส
นอกจากนี้ นพ.โสภณ กล่าวถึงแผนการฉีดวัคซีนว่า ในแต่ละวันสามารถฉีดวัคซีนได้เกือบ 3 แสนเข็ม ตกเดือนละประมาณ 9 ล้านโดส ถือว่าฉีดได้เต็มศักยภาพ และจากเริ่มปูพรมตั้งแต่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผ่านมา 6 สัปดาห์ฉีดได้แล้วกว่า 14 ล้านโดส ก็ยังถือว่าเป็นไปตามแผน ซึ่งหลังจากนี้ต้องมีการสรรหาวัคซีนให้เพียงพออย่างน้อยให้ได้เดือนละ 10 ล้านโดส
นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า ได้มีการพยายามติดต่อกับผู้ผลิตวัคซีนทั้งที่มีวัคซีนแล้ว และที่ยังอยู่ระหว่างการวิจัย โดยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน ส.ค.63 และพยายามหาช่องทางจองวัคซีนล่วงหน้า ซึ่งสามารถจองวัคซีนแอสตราเซนเนกาได้ตั้งแต่เริ่มต้น โดยมีการเจรจาตั้งแต่ส.ค.-ก.ย. และจองวัคซีนเสร็จสิ้นตั้งแต่พ.ย. จากนั้นจองซื้อเพิ่มเติมจนได้ครบ 61 ล้านโดสในช่วงต้นปี 64 ซึ่งขั้นตอนการสั่งจองวัคซีนต้องเป็นไปตามกระบวนการของระบบราชการ แต่อาจไม่ทันตามจำนวนที่ต้องการได้
“ขออภัยประชาชนที่ทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แม้พยายามเต็มที่แต่ยังจัดหาวัคซีนในจำนวนที่ได้ไม่เพียงพอต่อสถานการณ์”นพ.นคร กล่าว
ส่วนแนวทางจัดหาวัคซีนของสถาบันวัคซีนแห่งชาติในระยะต่อไปจะเร่งรัดเจรจาจัดหาวัคซีนล่วงหน้ากับผู้ผลิตวัคซีนที่มีการพัฒนาวัคซีนรุ่นที่ 2 เพื่อให้สามารถครอบคลุมเชื้อกลายพันธุ์ได้ โดยมีเป้าหมายส่งมอบวัคซีนได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/65
นอกจากนี้ ทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติมีการเตรียมการและเริ่มเจรจา และมีการส่งข้อความประสานงานไปยังหน่วยงานที่จะขอเจรจาจัดหาวัคซีนร่วมกับโครงการโคแวกซ์ โดยมีเป้าหมายได้รับวัคซีนในปี 65 และจะมีการเร่งรัดแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนด้วย
ดังนั้น การจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติกำลังเร่งเจรจากับผู้ผลิตที่มีศักยภาพ ส่วนจะได้ปริมาณเท่าไหร่ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะอยู่ระหว่างการจัดหา
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.ค. 64)
Tags: กระทรวงสาธารณสุข, วัคซีนต้านโควิด-19, วัคซีนโควิด, ศุภกิจ ศิริลักษณ์, โสภณ เอี่ยมศิริถาวร