MGC ลุยขยายระบบนิเวศทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องสร้างการเติบโตยั่งยืนหนุนรายได้ปี 67 เข้าเป้า

นายสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) (MGC) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานปี 2567 บริษัทมุ่งสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจครบวงจรภายใต้ MGC-ASIA Ecosystem ที่สมบูรณ์ และแข็งแกร่ง ผ่านการขับเคลื่อนการเติบโต 4 กลุ่มธุรกิจหลัก เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ หนุนให้ผลการดำเนินงานเติบโตตามเป้าหมาย ประกอบด้วย

1) กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Retail Business) กลุ่มบริษัทฯ วางเป้าหมายสร้างการเติบโตผ่านการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ เพื่อขยายฐานผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และมีแผนร่วมลงทุนกับกลุ่มพันธมิตร ขยายธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ครบวงจร รองรับเมกะเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโต

2) ธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) สัดส่วนรายได้จากบริการหลังการขายมีอัตราเติบโตต่อเนื่องจากความไว้วางใจของลูกค้า โดยในปี 66 มีจำนวนการเข้าใช้บริการ 201,051 ครั้ง เพิ่มขึ้น 11.55% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และรายได้ต่อการบริการต่อครั้งเพิ่มขึ้นจาก 17,926 บาท เป็น 18,195 บาท นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกอย่าง Tesla ให้ดำเนินธุรกิจศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) พร้อมมีแผนขยายสาขาเพื่อรองรับการเติบโตรถยนต์ไฟฟ้า

3) ธุรกิจบริการเช่ารถยนต์ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว และพนักงานขับรถ (Car Rental and Driver Services) ปี 2566 จำนวนรถให้เช่าระยะสั้น ภายใต้แบรนด์ ‘SIXT’ ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 40% โดยเฉพาะการเพิ่มรถยนต์ในกลุ่มพรีเมียม รองรับปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการท่องเที่ยวในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 รายได้รถเช่า SIXT เติบโตกว่า 40% เมื่อเทียบกับปี 2565 ด้านรถเช่าระยะยาวในปี 2566 จำนวนรถให้เช่าเติบโต 20% ทำให้ภาพรวม บจก. มาสเตอร์ คาร์เร้นเทิล มีรายได้รวมประมาณ 1,400 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2565 นอกจากนี้ภายในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจไปยังกลุ่มรถบรรทุกเชิงพาณิชย์ให้เช่า (Commercial Vehicle Rental) เพื่อให้บริการครอบคลุม ทุกกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น

4) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Other Services) บริษัทฯ ร่วมทุนกับพันธมิตรยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจบริการประกันภัยชั้นแนวหน้า โดยในปีงบประมาณ ช่วงเดือนตุลาคม 2565 ถึงกันยายน 2566 มีรายได้331 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 8% และเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 289 ล้านบาท

โดยเติบโตจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่แก่กลุ่มลูกค้าเดิม รักษาอัตราการต่ออายุกรมธรรม์ที่เพิ่มมากขึ้น และขยายไปสู่ตลาดใหม่ เช่น พลังงานหมุนเวียน และโครงการโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ขณะที่ บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีพอร์ตสินเชื่อเติบโตจากปีก่อนหน้า 84% โดยมีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง (High Net Worth) เพิ่มขึ้นเป็น 50% ของพอร์ตสินเชื่อรวมตามเป้าหมาย และสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรผ่านการเสนอผลิตภัณฑ์ Yacht Financing และ Wealth Lending ให้กลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 25,133 ล้านบาท เติบโตขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของรายได้กลุ่มธุรกิจจำหน่ายยานยนต์ และรายได้จากกลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขาย ขณะที่กำไร จากการดำเนินงานทำได้ 711 ล้านบาท ลดลง 21% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการแข่งขันด้านราคาในตลาดรถยนต์ใหม่ รวมถึงการชะลอตัวของการปล่อยสินเชื่อที่น้อยลง กลุ่มบริษัทฯ จึงจัดโปรโมชันส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่ยังเติบโตขึ้น รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ และการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ในปี 2565 กลุ่มบริษัทฯ มีรายการที่เกิดขึ้น เพียงครั้งเดียวทั้งหมด 3 รายการ คือ 1) กำไรจากการขายรถยนต์ และให้เช่ารถยนต์พร้อมพนักงานขับ จากงานประชุม APEC 2) รายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้ 3) ดอกเบี้ยที่เกิดจากการเข้าทำสัญญาเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างระยะยาว เพื่อใช้เป็น ศูนย์จัดจำหน่ายรถยนต์ ดังนั้นหากไม่รวมรายการดังกล่าว จะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรจากกิจกรรมดำเนินงานสำหรับปี 2565 และ 2566 อยู่ที่ 751 ล้านบาท และ 722 ล้านบาท ตามลำดับ ลดลง 4%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.พ. 67)

Tags: , , ,