บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PIN) เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทฯ มีผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการเติบโตของยอดขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม อีกทั้งบริษัทฯ มีศักยภาพด้านทำเลที่ตั้งในเขตพื้นที่ EEC และมีความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานในระดับสากล ประกอบกับการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรสุทธิในปีนี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดยในปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน 2,876.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,773.1 ล้านบาท หรือ 160.7% และมีกำไรสุทธิ 1,354.8เพิ่มขึ้น 1,030.1 ล้านบาท หรือ 317.2% เมื่อเทียบปี 2565 และมียอดโอนที่ดินทั้งสิ้น 584.0 ไร่
โดย ณ สิ้นงวดบริษัทยอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) 108.0 ไร่ และยอดจองซื้อที่ดิน (Pre-sale) 334.0 ไร่ ที่รอรับรู้รายได้ภายในปี 2567
นอกจากนี้ในปี 2567 บริษัทฯ จะยังคงมองหาโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมองหาที่ดินแห่งใหม่สำหรับการขยายนิคมอุตสาหกรรมโครงการใหม่ ตลอดจนมองหาโอกาสจากธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ของบริษัทฯ รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทฯ ในอนาคต
สำหรับความคืบหน้าของโครงการ ในไตรมาส 4 ปี 2566
-
การพัฒนาโครงการ Logistics Park ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างคลังสินค้าเฟสแรก พื้นที่ 69,000 ตร.ม. โดยก่อสร้างอาคารแรก พื้นที่ 9,900 ตร.ม.เสร็จสิ้นแล้วในไตรมาส 4 ปี 2566 ส่วนอาคารที่เหลือของเฟสแรกคาดว่าจะสร้างเสร็จภายในไตรมาส 2 ปี 2567
-
การพัฒนาโครงการปิ่นทอง 5 ส่วนขยาย โดยโครงการปิ่นทอง 5 ส่วนขยาย พื้นที่ 1,155 ไร่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environment Impact Assessment Report: EIA) คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ต้นปี 2568
-
การพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ในไตรมาส 4 ปี 2566 มีการรับรู้รายได้จากการดำเนินการติดตั้งแผงโซลาร์ให้ลูกค้ารวมทั้งสิ้น 1 เมกะวัตต์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาตกลงสัญญาการดำเนินการติดตั้งแผงโซลาร์กับลูกค้าจำนวน 4 เมกะวัตต์
ในปี 2566 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน 2,876.4 ล้านบาทจากปี 2565 ที่มี 1,103.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,773.1 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 160.7 เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยมีสาเหตุหลัก
-
รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 มีมูลค่า 2,629.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,732.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 193.1 เนื่องจากปริมาณการโอนที่ดินเพิ่มขึ้น โดยปี 2566 มียอดโอนที่ดินจำนวน 584.0 ไร่ และปี 2565 จำนวน 209.8 ไร่ เพิ่มขึ้นจำนวน 374.2 ไร่ จากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะลูกค้าจากประเทศจีนในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งปัจจัยสนับสนุนจากการย้ายฐานการผลิตจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศจีนกับสหรัฐฯ ประกอบกับบริษัทฯ มีศักยภาพด้านทำเลที่ตั้งในเขตพื้นที่ EEC และมีโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคที่ได้มาตรฐานระดับสากล
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนการขยานฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น อีกทั้งความสามารถในการปรับราคาขายที่ดินต่อไร่เพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้นงวดมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) 108.0 ไร่และยอดจอง (Pre-sale) 334.0 ไร่ ซึ่งทั้งหมดจะรับรู้รายได้ภายในปี 2567
-
รายได้จากการให้เช่าและบริการในปี 2566 มีมูลค่า 67.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.0 เนื่องจากบริษัทฯ สามารถหาผู้เช่ารายใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีพื้นที่เช่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6,349 ตารางเมตร โดย ณ สิ้นงวดมีอัตราเช่าอยู่ที่ร้อยละ 100.0
-
รายได้ค่าสาธารณูปโภค ในปี 2566 มีมูลค่า 179.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.4 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายน้ำประปาและรายได้จากการบริการบำบัดน้ำเสีย อีกทั้งค่าบริการพื้นที่ส่วนกลางตามกิจกรรมการผลิตของลูกค้าและจำนวนของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงรายได้ค่าบริการเส้นใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) จากลูกค้ารายใหม่และการให้บริการติดตั้งโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) ตลอดจนการเริ่มรับรู้รายได้จากการบริการควบคุมงานก่อสร้างในไตรมาส 4 ปี 2566
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 55.9 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 52.9 ในปี 2565 เนื่องจากการเติบโตของรายได้ในทุกธุรกิจ โดยเฉพาะรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ประกอบกับความสามารถของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในปี 2566 กลุ่มบริษัทฯ กำไรสุทธิ 1,354.8 ล้านบาท จากปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิ 324.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,030.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 317.2 สอดคล้องกับยอดขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณการโอนที่ดินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการย้ายฐานการผลิตจากค วามขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศจีนกับสหรัฐฯ และแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบกับบริษัทฯ มีศักยภาพด้านทำเลที่ตั้งในเขตพื้นที่ EEC และมีโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคที่ได้มาตรฐานระดับสากล
อีกทั้งความสามารถในการปรับราคาขายที่ดินต่อไร่เพิ่มขึ้น และการรับรู้รายได้ รายการพิเศษจากการขายโรงงานเช่าในไตรมาส 2 ปี 2566 ในขณะที่รายได้จากธุรกิจอื่นก็เติบโตเพิ่มขึ้นเช่นกัน ประกอบกับการลดลงของต้นทุนทางการเงินจากความสามารถในการช ระคืนเงินกู้ยืมให้แก่สถาบันการเงินตลอดจนความสามารถของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่อัตราร้อยละ 44.7 ในปี 2566 ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 28.3 ในปี 2565 สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ในทุกธุรกิจ ตลอดจนความสามารถของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ก.พ. 67)
Tags: PIN, ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค, หุ้นไทย