มัลดีฟส์หวั่นสูญรายได้ท่องเที่ยวหลายล้าน เซ่นปมวิจารณ์นายกฯอินเดีย

โพสต์บนโซเชียลมีเดียของเจ้าหน้าที่มัลดีฟส์อาจทำให้ประเทศต้องสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวมูลค่าหลายล้าน หลังกระแสเรียกร้องให้คว่ำบาตรมัลดีฟส์ในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเริ่มรุนแรงขึ้น

นักท่องเที่ยวจากอินเดียประกาศกร้าวผ่านช่องทางออนไลน์ว่าจะคว่ำบาตรมัลดีฟส์ หลังรัฐมนตรี 3 คนของมัลดีฟส์แสดงความคิดเห็นดูหมิ่นนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย โดยหลังจากที่นายกฯโมดีได้โพสต์วิดีโอส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะทางตอนใต้ของอินเดีย รัฐมนตรีทั้ง 3 คนของมัลดีฟส์ได้ตอบสนองด้วยการโพสต์ข้อความลงบนโซเชียลมีเดียในวันที่ 4 ม.ค. 2567 ซึ่งบรรยายว่า นายกฯโมดีเป็น “ตัวตลก”, “ผู้ก่อการร้าย” และ “หุ่นเชิดของอิสราเอล” ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างถึงการที่อินเดียสนับสนุนอิสราเอลในการทำสงครามกับกลุ่มติดอาวุธฮามาสชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา

นายอังกิต จาตุรเวดี รองประธานและหัวหน้าฝ่ายการตลาดระดับโลกของเรทเกน (Rategain) บริษัทซอฟต์แวร์การท่องเที่ยวในอินเดีย กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีทราเวลเมื่อวันอังคาร (9 ม.ค.) ว่า “เราเห็นยอดจองท่องเที่ยวมัลดีฟส์ลดลง 40% ตลอดระยะเวลา 2 วันที่ผ่านมา โดยผู้คนส่วนใหญ่นิยมจองตั๋วท่องเที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์ ดังนั้น ยอดจองที่ลดลงจึงมีนัยสำคัญมากขึ้น เนื่องจากตามหลักแล้วยอดจองควรจะเพิ่มขึ้น”

อีสมายทริป (EaseMyTrip) ซึ่งเป็นเว็บไซต์จองการเดินทางชื่อดังของอินเดีย ได้ประกาศว่าจะระงับการจองเที่ยวบินจากอินเดียไปยังมัลดีฟส์ ท่ามกลางการรายงานเรื่องนักท่องเที่ยวอินเดียหลายพันรายแห่ยกเลิกทริปเยือนมัลดีฟส์

หนังสือพิมพ์อินเดียเอ็กซ์เพรสรายงานว่า ตัวแทนการท่องเที่ยวบางรายในอินเดียเปิดเผยว่า พวกเขากำลังยกเลิกเที่ยวบินสู่มัลดีฟส์ ลบรูปภาพออกจากเว็บไซต์ และแนะนำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปยังหมู่เกาะของอินเดีย เช่น หมู่เกาะลักษทวีป หมู่เกาะอันดามัน หมู่เกาะนิโคบาร์ หรือศรีลังกาแทน

ในช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวชาวจีนหดหาย ชาวอินเดียได้ก้าวขึ้นมาเป็นแหล่งรายได้สำคัญในด้านการเดินทางของมัลดีฟส์ในปี 2566 และคาดว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลกภายในปี 2573 โดยนายจาตุรเวดีกล่าวว่า ความเสียหายที่แท้จริงต่อมัลดีฟส์นั้นยากที่จะคาดเดาได้ แต่อินเดียผลักดันรายได้ด้านการท่องเที่ยวมูลค่า 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่มัลดีฟส์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ม.ค. 67)

Tags: , ,