SCBAM โชว์ความสำเร็จ 3 กองทุน Thai ESG ครองแชมป์ AUM เบอร์ 1 กว่า 1.13 พันลบ.

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM) เปิดเผยว่า ล่าสุด กองทุน Thai ESG ของ SCBAM มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (AUM) จากการเสนอขายตลอดเดือนธันวาคมเป็นจำนวนเงินรวมกว่า 1,127 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรม (ที่มา: Morningstar ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566) สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เลือกกองทุน Thai ESG ของ SCBAM เป็นช่องทางการออมเงินระยะยาวและใช้สิทธิลดหย่อนภาษีของปี 2566

ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมา ดัชนี SET และหุ้นไทยปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ประกอบกับมูลค่า NAV ของกองทุน Thai ESG หลังออกเสนอขายหน่วยลงทุนยังปรับขึ้นมาไม่มาก ในปี 2567 นี้ จึงมองเป็นจังหวะเข้าลงทุนได้ต่อเนื่องต้นแต่ต้นปี เพื่อทยอยสะสมมูลค่าเงินออม และนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับปีนี้ได้

กองทุน Thai ESG ทั้ง 3 กองทุน ของ SCBAM ซึ่งครอบคลุมทุกนโยบายการลงทุน ได้แก่

(1) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ไทยผสมยั่งยืน (SCBTM) กองทุนที่เน้นลงทุนแบบผสมยืดหยุ่น 0-100 % ในหุ้นและตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์ไทยที่โดดเด่นด้านความยั่งยืน

(2) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นไทยยั่งยืนแอคทีฟ (SCBTA) กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นไทยหลากหลายอุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่นด้านการดำเนินธุรกิจตามหลักเกณฑ์ ESG มีแนวโน้มขยายตัวทางธุรกิจที่ดีในระยะยาว และมีมูลค่าพื้นฐานน่าสนใจ

และ (3) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นไทยยั่งยืนพาสซีฟ (SCBTP) กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นไทยที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET ESG Total Return โดยทำการคัดเลือกหุ้น และใช้กลยุทธ์แบบ Optimization ปรับสัดส่วนการลงทุน มุ่งสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด

ทั้ง 3 กองทุน มีพอร์ตโมเดลด้านการบริหารจัดการกองทุนโดยทีมผู้จัดการกองทุนคุณภาพ จึงตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของนักลงทุนที่สามารถเลือกเข้าลงทุนเพื่อหาโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ตั้งแต่ระดับปานกลางไปจนถึงระดับสูง ส่งผลให้ทั้ง 3 กองทุน ได้รับความสนใจและมีผลตอบรับอย่างดี

สำหรับปี 67 นี้ SCBAM มองว่า ทิศทางการเติบโตของตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่หลายประเทศเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง ประกอบกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากแรงหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตแบบเร่งตัวจากภาคการส่งออก แนวโน้มการค้าโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น และการขยายตัวการลงทุนภาคเอกชนตามแนวโน้มยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนและนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีโอกาสปรับตัวขึ้น และส่งผลต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยให้กลับมาเติบโตได้ในปีนี้

ดังนั้น มองเป็นโอกาสเข้าลงทุนสะสมหุ้นไทยที่มีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ผ่านกองทุน Thai ESG นี้ได้ต่อเนื่อง ซึ่งนอกเหนือจากการวางแผนออมเงินในระยะยาวแล้ว ยังสามารถรับสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับปี 67 ได้ต่อเนื่อง และยังเป็นส่วนหนึ่งที่พร้อมหนุนการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยให้มีการเติบโตเพื่อก้าวไปสู่ความยั่งยืนร่วมกันอีกด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ม.ค. 67)

Tags: , , , ,