นายกฤตเมธ ตั้งพิชญโพธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เมคทูวิน โฮลดิ้ง (MTW) เปิดเผยว่า ในปี 66 เป็นปีที่ MTW จะสร้างฐานการเติบโตของธุรกิจในกลุ่มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ภาพชัดเจนมากขึ้น บริหารงานภายใต้บริษัทย่อย คือ บริษัท เดโก้ กรีน เอนเนอร์จี จำกัด (DECO) ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมนโยบายส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐ โดยปัจจุบัน มีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ขึ้นทะเบียน 20 รุ่น และได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐจำนวน 9 รุ่น ปัจจุบัน มีตัวแทนจำหน่าย 102 ราย มี 200 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งเป็นทั้งศูนย์จำหน่าย และศูนย์บริการหลังการขาย
ขณะที่ รายงานยอดขายรถจักรยานยนต์ในประเทศ ในปี 2566 ในช่วงเดือนมกราคม – ตุลาคม 2566 อยู่ที่ 1.6 ล้านคัน ถ้าเทียบรถจักรยานยนต์ EV รวมทุกแบรนด์ที่จดทะเบียนในกรมขนส่ง คิดเป็นเพียง 1% สะท้อนการเติบโตและการขยายตลาดนี้
อย่างไรก็ดี จากการผลักดันประเทศไทยกำลังพัฒนาเป็นศูนย์กลาง EV Hub ระดับภูมิภาคและเข้าสู่ Carbon Neutrality การใช้รถไฟฟ้าจึงเป็นหนึ่งในตัวช่วย และกำลังเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยนโยบาย EV แห่งชาติของประเทศไทยส่งเสริมการพัฒนารถไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2021-2035 ครอบคลุมทั้งระบบ รวมถึงส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยสิทธิประโยชน์ที่กลุ่มบริษัทได้รับ คือ เงินอุดหนุนจำนวน 18,000 บาทต่อคัน สำหรับการผลิตรถจักรยานยนต์ BEV ไปจนถึงสิ้นปี 2568 และขยายระยะเวลาให้กับผู้ที่จดทะเบียนรถไม่ทันในช่วงสิ้นปี 2568 ไปจนถึงสิ้นวันที่ 31 มกราคม 2569 โดยกลุ่มบริษัทได้รับการสนับสนุนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าทั้ง 9 รุ่น
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก BOI ระยะเวลา 3 ปี และเพิ่มสูงสุดที่ 5 ปี หากมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ รวมทั้งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าชิ้นส่วน ซึ่งกลุ่มบริษัทได้ 5 ชิ้นส่วน จากทั้งหมด 9 ชิ้นส่วน ได้แก่ แบตเตอรี่ มอเตอร์ คอนโทรลเลอร์ ระบบบริหารแบตเตอรี่ และคอนเวอร์เตอร์ สอดคล้องกับแผนการลงทุนของ MTW สยายปีกเข้าไปในธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ คาดจะแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติม และจัดตั้งบริษัทแล้วเสร็จ ภายในไตรมาส 1/67
ในปีหน้าบริษัทวางแผนขยายธุรกิจ วาง 3 กลยุทธ์หลัก คือ (1) การมีศูนย์บริการให้ครอบคลุมทุกจังหวัด เป้าหมาย 300 สาขา โดยเป็นทั้งศูนย์บริการ และศูนย์จำหน่าย รวมทั้ง (2) ซื้อชิ้นส่วนในประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อขอ Local content และ (3) ลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ ที่ใช้กับ Electric Vehicle (EV) ทุกชนิด แบตเตอรี่ประเภท Storage ซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจพลังงานทดแทน ใช้สำหรับรถยานยนต์ไฟฟ้า และรองรับการขยายตลาดในอนาคต
โดยกลุ่มบริษัทมีแผนการผลิตและการขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดปี 2567 มีกำลังการผลิต 32,000 คันต่อปี เพิ่มเป็น 52,000 คันต่อปี ในปี 2570 และประมาณการปริมาณการขายในปี 2567 อยู่ที่ 30,000 คันต่อปี เพิ่มเป็น 50,000 คันต่อปี ในปี 2570 ทั้งนี้ ปัจจุบัน มีออเดอร์ในมือที่รอส่งมอบราว 4,000 คัน
“ในปี 65 เราได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลในเรื่องของ EV 3.0 แต่ข้อจำกัดด้วยโรงงานเดิมที่มีพื้นที่จำกัด และปีที่แล้วทั้งปีเป็นช่วงทดสอบโมเดลรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าทั้ง 9 รุ่นที่เข้าโครงการ โดยทดสอบตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ต่อมาได้รับการอนุมัติและได้เงินอุดหนุน 18,000 บาทต่อคัน ในช่วงปลายเดือน พ.ย.65 อย่างไรก็ดี ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 66 เรายังคงผลิตที่โรงงานเก่า มีกำลังการผลิตเพียงราว 10,000 คัน/ปี ช่วง ส.ค.เราย้ายไปที่โรงงานใหม่พื้นที่กว่า 23ไร่ ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น มีพื้นที่เพียงพอในการผลิต เครื่องจักรที่นำเข้ามามีความทันสมัย สามารถรองรับกำลังการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้ถึง 2 แสนคัน/ปี แต่หลังย้ายเราอยู่ในช่วงอบรมบุคลากร และย้ายสินค้า มาจนถึงวันนี้เราทำไปเรียบร้อย 95% แล้ว และจะเรียบร้อยทั้ง 100% ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้ใน Q3/66-Q4/66 มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น แต่ยังเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในปีหน้า
และในช่วง Q4/66 ในช่วง ต.ค.-พ.ย.เราติดขัดในด้านการส่งสินค้าไปให้ตัวแทนจำหน่าย เพราะกลุ่มบริษัทได้สิทธิประโยชน์การส่งเสริมจากรัฐบาล เราได้การยกเว้นภาษีชิ้นส่วน 5 ชนิด เงื่อนไขการได้รับส่งเสริมคือ เราต้องส่งชิ้นส่วนที่เราได้ส่งเสริมไปรับรองที่สถาบันยานยนต์ ซึ่งต้องมีขั้นตอนเกิดขึ้น ดังนั้น ใน 5 ชนิดที่บริษัทได้ประโยชน์ มูลค่าค่อนข้างสูง คิดเป็น 70% ของต้นทุนทั้งหมด เราเลยพยายามทำตามเงื่อนไข เพื่อประโยชน์ต่อบริษัท และผู้ถือหุ้นของเรา เราเป็นเจ้าแรกที่ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในไทย และเป็นเจ้าแรกที่ได้รับการส่งเสริมมาตรการ EV 3.0 ทำให้เราได้ประโยชน์ก่อนใคร แต่เนื่องจากเป็นสิ่งใหม่ การรับรองต้องใช้เวลา คาดการดำเนินการเรื่องยกเว้นภาษีชิ้นส่วน 5 ชนิด จะเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือน พ.ย.ทำให้เราชะลอการส่งมอบสินค้าเพื่อรอการรับรองส่วนนี้ และใช้ประโยชน์ได้จนถึงปี 68 เป็นเหตุผลให้ในไตรมาส 4/66 เรายังใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มเข้ามาอย่างไม่เต็มที่ แต่คาดยอดขายยังอยู่ในระดับที่ดีใกล้เคียงไตรมาส 3/66″ นายกฤตเมธ กล่าว
ล่าสุด MTW มีรายได้จากการขายของกลุ่มบริษัท สำหรับงวด 9 เดือนปี 2566 อยู่ที่ 394.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 242.45 ล้านบาท หรือ 159% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรขั้นต้น 109.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70.11 ล้านบาท หรือ 180% มีกำไรสำหรับงวด 52.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.01 ล้านบาท หรือ 460.99% รับธุรกิจรถมอเตอร์ไซค์ EV หนุน ตัวเต็งได้อานิสงส์นโยบายส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐ หนุนปีนี้นิวไฮตามเป้า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 พ.ย. 66)
Tags: MTW, กฤตเมธ ตั้งพิชญโพธิวัฒน์, หุ้นไทย, เมคทูวิน โฮลดิ้ง