ครม.ไฟเขียว 780 ลบ. ชดเชยดอกเบี้ยค่าเก็บสต็อกข้าว ฤดูผลิต 66/67

นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 66/67 และอนุมัติกรอบวงเงิน จำนวน 780 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

ทั้งนี้ จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 66 ได้มีมติเห็นชอบโครงการดังกล่าว ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 780 ล้านบาท โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์สำคัญ ดังนี้

(1) เพื่อให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวในช่วงต้นฤดูได้เพิ่มขึ้น ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม และผู้ประกอบการค้าข้าวสามารถรับซื้อข้าวเปลือกในช่วงต้นฤดูที่ผลผลิตจะออกสู่ตลาดจำนวนมาก โดยไม่ต้องเร่งระบาย รวมทั้งเป็นการดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาด เพื่อทำให้ราคาตลาดข้าวภายในประเทศมีเสียรภาพ

(2) เพื่อส่งเสริมสินเชื่อทุกประเภทที่มีวัตถุประสงค์ในการเก็บสต็อกให้ผู้ประกอบการค้าข้าว โดยไม่แทรกแซงตลาด และให้เป็นไปโดยเสรีตามกลไกตลาด

“ข้าวจะออกสู่ตลาดพร้อมกันในช่วงต้นฤดู ส่งผลให้โรงสี และตลาดกลาง มีความจำเป็นต้องเร่งจำหน่ายผลผลิตออกสู่ตลาด ดังนั้น โครงการฯ จะเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการให้มีสภาพคล่องในการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร โดยการเก็บรักษาสต็อกไว้และชดเชยค่าเสียโอกาสในการเก็บรักษาข้าว ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสม และเป็นธรรม”

กลุ่มเป้าหมาย : จะเป็นผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งจะเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือก และข้าวสาร โดยมีเป้าหมายเป็นขาวเปลือกและข้าวสาร 4 ล้านตัน ในระยะเวลา 2-6 เดือน

วิธีการ : รัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการค้าข้าวที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารของรัฐที่ผู้ประกอบการค้าข้าวเป็นลูกค้าอยู่ ตามมูลค่าข้าวเปลือกที่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ เก็บสต็อกไว้ในอัตรา 4% ต่อปี และตามระยะที่เก็บสต็อกไว้ 60-180 วัน นับตั้งแต่วันที่รับซื้อ ดังนี้

1. การรับซื้อข้าวเปลือก: ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องนำเงินกู้ในรูปแบบตั๋วสัญญาใช้เงิน (ยกเว้น ธ.ก.ส. เป็นสัญญาเงินกู้) จากธนาคารไปดำเนินการรับซื้อข้าวเปลือกและข้าวสารจากเกษตรกร โดยทางตรงและทางอ้อม

2. การเก็บสต๊อก: เก็บสต็อกข้าวและข้าวเปลือกที่รับซื้อจากเกษตรกรในรูปข้าวเปลือก หรือสีแปรสภาพเป็นข้าวสาร ตามปริมาณและมูลค่าที่ได้รับจัดสรร

3. การยื่นขอชดเชยดอกเบี้ย: เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินหรือสัญญากู้ยืมเงินครบกำหนดชำระ ให้ธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารของรัฐรับรองการกู้เงินและดอกเบี้ยที่จะได้รับการชดเชย โดยผู้เข้าร่วมโครงการฯ นำหลักฐานดังกล่าว ยื่นการขอรับชดเชยอกเบี้ยต่อคณะอนุกรรมการจังหวัดตามขั้นตอนต่อไป

กรอบวงเงิน : 780 ล้านบาท มีรายละเอียด ดังนี้

– ค่าชดเชยดอกเบี้ย

1. ข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียว ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 440 ล้านบาท (ปริมาณ 2 ล้านตัน x 11,000 (ราคาต่อ 1 ตัน) x 4% x 6 เดือน)

2. ข้าวเจ้า 340 ล้านบาท (ปริมาณ 2 ล้านตัน x 8,500 (ราคาต่อ 1 ตัน) x 4% x 6 เดือน)

ค่าชดเชยดอกเบี้ยสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการได้

แหล่งเงิน : ใช้จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเษตรกรในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ให้กรมการค้าภายในเสนอขอรับการจัดสรรงบฯ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป

ระยะเวลาดำเนินการ : ตั้งแต่ ครม. มีมติ – 31 ต.ค. 68

1. ทั่วประเทศ (ยกเว้นภาคใต้)

– การรับซื้อข้าวจากเกษตรกรเพื่อเก็บสต็อกตั้งแต่ ครม. มีมติ – 31 มี.ค. 67

– ระยะเวลาการเก็บสต๊อกข้าวตั้งแต่ ครม. มีมติ – 31 ธ.ค. 67

2. ภาตใต้

– การับซื้อข้าวจากเกษตรกรเพื่อเก็บสต๊อก 1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 67

– ระยะเวลาการเก็บสต็อกข้าว 1 ม.ค. – 28 ก.พ. 68

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 พ.ย. 66)

Tags: , , , , , ,